ผู้ว่าแบงก์ชาติ ชี้คนไทยใช้งาน e-payment พุ่งขึ้น 15 เท่า พร้อมเปิดทางให้หน้าใหม่เข้ามาแข่งขันบริการทางการเงินมากขึ้น
เมื่อวันที่ 13 กันยายน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระบบการเงินไทยมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยสินทรัพย์รวมของธนาคารพาณิชย์เพิ่มจาก 11 ล้านล้านบาท เพิ่ม 2 เท่า มาอยู่ที่ 22 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน ขณะที่ดิจิทัลก็มีบทบาทมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในระบบการเงิน จากจำนวนบัญชีโมบายแบงกิ้ง จาก 5 แสนบัญชี เมื่อ 10 ปีก่อน ล่าสุดถึง มิถุนายน 2564 อยู่ที่ 75 ล้านบัญชี การใช้งานระบบชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) เพิ่มจาก 17 ครั้งต่อคนต่อปี เป็น 251 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 15 เท่า
“ระบบการเงินทั่วโลกจะมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาแข่งขันให้บริการมากขึ้น และมาจากทิศทางใหม่ เช่น อาจจะมาจากผู้ประกอบการที่ไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน หรือมาจากผู้ประกอบการข้ามชาติ รวมถึงไปถึงเทคโนโลยีบล็อกเชน เป็นต้น ขณะที่แนวโน้มการใช้งานบริการด้านการเงิน ก็จะพัฒนาไปสู่การใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลามากขึ้น”
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญของระบบการเงินไทย เป็นเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อได้ยาก โดยเฉพาะของรายย่อยและเอสเอ็มอี โดย 86% ของครัวเรือนไทยยังมีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ซึ่งพบว่า 60% ของเอสเอ็มอียังเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินเลย รวมไปถึงการโอนเงินระหว่างประเทศที่ยังมีต้นทุนสูง ดังนั้นเป็นโอกาสที่เทคโนโลยีจะเข้ามาปรับเปลี่ยนแก้ปัญหาตรงนี้ สำหรับบทบาทของ ธปท. ในระยะข้างหน้า จะให้ความสำคัญกับการเปิดข้อมูลให้มากขึ้น พร้อมเอื้อให้เกิดการแข่งขัน ทำโครงสร้างพื้นฐานที่หลากหลาย โดยให้มีผู้เล่นใหม่เพิ่มเข้ามามากขึ้น และให้ผู้เล่นเดิมสามารถแข่งขันกับรายใหม่ได้ด้วย
“ในตอนนี้กระแสชักชวนการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนมาก ซึ่งประชาชนหลายคนยังมีความไม่เข้าใจ และอาจเกิดถูกหลอกลวงได้ เพราะการถือสินทรัพย์ดิจิทัลต้องระมัดระวังความเสี่ยงเรื่องการผันผวนของราคา รวมไปถึงอันตรายจากภัยไซเบอร์ จากการที่คนร้ายได้ส่งลิงก์เว็บไซต์แปลกปลอม เพื่อให้มีการกรอกข้อมูลส่วนบุคคลลงไป เป็นการโจรกรรมข้อมูลนำไปสู่การขโมยเงินในระบบระบบดิจิทัลได้” นายเศรษฐพุฒิ กล่าวปิดท้าย
