‘อาคม’ เผยนโยบายนอกตำราฟื้น ศก. คาดหนี้สาธารณะสิ้นปีงบ 65 อยู่ที่ 62% ยันจีดีพีปีนี้จะไม่ติดลบ

‘อาคม’ เผย ‘นโยบายนอกตำรา’ ฟื้นเศรษฐกิจจากโควิด คาดหนี้สาธารณะ สิ้นปีงบ 65 อยู่ที่ 62% ยันจีดีพีปีนี้จะไม่ติดลบแน่นอน

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “สร้างภูมิคุ้มกัน-ฝ่าภัยโควิด” ว่า ภายใต้สถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จึงต้องมีการฉีควัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยเฉพาะวัคซีนโควิด-19 แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องมีวัคซีนเศรษฐกิจ ซึ่งวัคซีนสุขภาพและวัคซีนเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่คู่กัน วัคซีนหรือภูมิคุ้มกันเศรษบกิจแบ่งเป็น 3ตัว คือ 1.การบริหารเศรษฐกิจในระดับมหภาค 2.ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง คือภาคการผลิตและการบริการ ที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ และ 3.แรงงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องวัคซีนสุขภาพ หากแรงงานสุขภาพไม่ดีจากโควิด มีการติดเชื้อกันไปหมด จะส่งผลกระทบต่อสายการผลิต รวมทั้งหากสุขภาพไม่ดีนอกเหนือจากโควิด-19 ประสิทธิภาพการทำงานก็ลดลง

นายอาคม กล่าว่า จากล่าสุด ธนาคารโลกได้รายงานสถานการณ์ของประเทศไทย โดยปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยปี 2564 จากเดิม 2% ปรับลดลงเป็น 1% ต่ำกว่าที่ไทยได้คาดการณ์ไว้ค่อนข้างเยอะ ที่ 2-3% การปรับลดนั้น เนื่องจาก ความยืดเยื้อของสถานการณ์ระบาดโควิดที่ยาวนาน แต่ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ รัฐบาลให้หลักประกันว่า ภายในเดือนธันวาคมนี้ อัตราการฉีดวัคซีนของไทยนั้น ได้ 70% ของประชากรแน่นอน ปริมาณวัคซีนที่รัฐบาลสั่งซื้อ ณ สิ้นปี จะมีทั้งหมด 178 ล้านโดส เพียงพอสำหรับจำนวน 70% ของประชากรไทย และในปี 2565 มีการสั้งซื้อวัคซีนเพื่อฉีดเข็มที่สาม หรือบูสเตอร์ เบื้องต้นมีจำนวน 120 ล้านโดส ดังนั้นในแง่ของปริมาณวัคซีนไม่มีปัญหา แม้ว่าจะมีวัคซีนแล้ว แต่ทุกคนยังต้องร่วมมือกัน ต้องป้องกันตนเอง นอกจากนี้ ธนาคารยังได้กล่าวถึง มาตรการของรัฐบาลหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่สำคัญคือ ในยามวิกฤติภายใต้โควิด-19 ไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม รัฐบาลต้องใช้จ่าย รัฐบาลต้องใช้เงินเพื่อช่วยเหลือประชาชน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

นายอาคม กล่าวว่า ดังนั้น การกู้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน ทั้ง 2 ฉบับ ของรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาการกระบาดของไวรัสโควิด-19 วงเงินรวม 1.5 ล้านล้านบาทนั้น เป็นการกู้ในภาวะที่จำเป็นและเกือบทุกประเทศทั่วโลกดำเนินการเช่นเดียวกับไทย ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะไทยปรับเพิ่มขึ้นทั้งยอดหนี้และสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพี เพราะรายได้ของประเทศ โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยวที่คิดเป็นสัดส่วน 12% ของจีดีพีหายไป ขณะเดียวกันนโยบายการเงินของประเทศมีการผ่อนคลายเพื่อให้นโยบายการคลังสามารถเดินหน้าได้ ซึ่งหากในภาวะปกติมีการดำเนินนโยบายการคลังที่ต้องกู้เงินมากถึง 1 ล้านล้านบาท ฝั่งของนโยบายการเงินจะออกมาทักท้วงทันที เพราะจะส่งผลต่อเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินไม่ให้ร้อนแรงจนเกินไป ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องทำ นโยบายนอกตำรา ซึ่งการกู้เงินจะอยู่ภายใต้เงื่อนไข คือ ใช้อย่างไรให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นเมื่อมีการใช้จ่ายมากขึ้น รัฐบาลจำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ หรือ การปฏิรูปโครงสร้างภาษี

Advertisement

“ปี 2565 รัฐบาลตั้งงบขาดดุลไว้ที่ 7 แสนล้านบาท แปลว่ารัฐบาลจะต้องจัดเก็บรายได้ให้ได้ 7 แสนล้านบาท แต่ข้อจำกัดในช่วงปี 2563 และ 2564 ทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลลดลง รวมทั้งรายได้ของรัฐวิสาหกิจก็ลดลง ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างภาษี ด้วยการขยายฐานภาษี ดึงคนเข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น ซึ่งยังส่งผลดีต่อการดำเนินนโนบายให้ความช่วยเหลือ เพราะเมื่อทุกคนรวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ามาอยู่ในระบบ จะทำให้รัฐบาลมีฐานข้อมูลและให้ความช่วยเหลือตรงเข้าไปได้ทันที” นายอาคม กล่าว

นายอาคม กล่าวว่า ว่า ขอย้ำเรื่องการขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ก็เพื่อเปิดช่องให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มเติมในอนาคตหากมีความจำเป็น ดังนั้นจึงไม่ได้หมายความว่า เมื่อขยับเพดานหนี้แล้วจะต้องมีการกู้เงินเกิดขึ้น ทั้งนี้คาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี ในปี 2565 จะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 62% ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ขณะที่ปัจจุบันหนี้ต่อรายได้ในงบประมาณประจำปีอยู่ที่ 31% ซึ่งยังต่ำกว่าที่กฎหมายวินัยการเงินการคลังกำหนดไว้ที่ 35% ส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะรวมของประเทศ ปัจจุบันอยู่ที่ 1.4% จากกรอบที่กำหนดไว้ไม่เกิน 10% ซึ่งถือว่าต่ำมากเนื่องจากรัฐบาลใช้เงินกู้จากสภาพคล่องในประเทศเป็นหลัก และหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออก ซึ่งกำหนดต้องไม่เกิน 5% ปัจจุบันอยู่ที่ 0.06% ซึ่งถือว่าน้อยมากเช่นกัน ดังนั้นหากสภาพคล่องในประเทศตึงตัว รัฐบาลสามารถไปกู้เงินจากต่างประเทศได้

นายอาคม กล่าวว่า อย่างไรก็ตามรัฐบาลมีนโยบายในการลดการขาดดุลงบประมาณให้ได้ ดังนั้นหากในปี 2565 จีดีพีไทยอยู่ที่ 3-4% และปีถัดไปอยู่ที่ 4-5% ก็จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ขยับลดลง พร้อมย้ำรัฐบาลมีแผนบริหารจัดการหนี้ที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดต้นทุนที่สูงเกินไป

Advertisement

นายอาคม กล่าวว่า รัฐบาลจะไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบ ตามที่บางสำนักวิจัยเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะยังติดลบ โดยรัฐบาลจะเดินหน้าเพิ่มการใช้จ่ายให้ประชาชนและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต่อเนื่อง ผ่านมาตรการที่จะออกมาเพิ่มเติมในช่วง 1-2 เดือนนี้และยาวไปถึงปีใหม่เพื่อให้ประชาชนได้มีเงินในการใช้จ่าย ขณะที่ในปี 65 แม้สำนักวิจัยเศรษฐกิจหลายที่จะคาดว่า จีดีพีไทยจะขยายตัวได้เพียง 3-4% ซึ่งต่ำกว่าที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ที่ 4-5% แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่ยังเป็นบวก แม้จะบวกลดลงก็ตาม และเชื่อว่าหลังจากนี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image