‘ททท.’ ยินดีรับต่างชาติทั่วโลก ย้ำประเทศเสี่ยงต่ำ-ฉีดวัคซีนครบโดสเที่ยวได้ทั่วไทย

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) /แฟ้มภาพ

‘ททท.’ ยินดีรับต่างชาติทั่วโลก ย้ำประเทศเสี่ยงต่ำ-ฉีดวัคซีนครบโดสเที่ยวได้ทั่วไทย

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้กำหนดการเปิดจังหวัดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เดินทางมาจากประเทศความเสี่ยงต่ำ ซึ่งคาดว่ารายชื่อจะเปิดเผยออกมาไม่เกิน 1-2 วันนี้ และจะมีการเปลี่ยนแปลงทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยจะไม่มีการกักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ในการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2564 ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเบื้องต้นขยายเพิ่ม 15 จังหวัด รวมระยะนำร่องเป็น 17 จังหวัด แต่จะเปิดได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความพร้อมด้านสถานการณ์ โดยเฉพาะ 1.การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นได้เกิน 70% ซึ่งเน้นไปที่ประชาชนกลุ่ม 608 หรือกลุ่มที่มีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ 2.ความพร้อมด้านสาธารณสุข อัตราการครองเตียงเหลืองแดงต้องไม่เกิน 80% สัดส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่จะต้องไม่เกิน 5-10 คน ต่อจำนวนประชากร 1 คนต่อวัน ทำให้หลายพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบตามเงื่อนไข หรือพบการระบาดโควิด-19 กลับมาอีกครั้ง จะต้องจัดการกดตัวเลขให้ลดลง และฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ เนื่องจากให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของคนในพื้นที่เป็นหลัก จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดทุกจังหวัดตามแผนให้ได้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ แต่หากจังหวัดใดที่มีความพร้อมมากกว่าก็เปิดได้ก่อน

“ประเทศไทยยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกประเทศทั่วโลก แต่จะมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของประเทศต้นทาง และการฉีดวัคซีนครบหรือไม่ครบโดสของนักท่องเที่ยว โดยเน้นย้ำว่าหากนักท่องเที่ยวเดินทางมาจากประเทศเสี่ยงต่ำ ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และตรวจหาเชื้อผ่าน RT-PCR ไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทั่วประเทศ เหมือนคนไทยที่ได้รับวัคซีนครบโดสทุกอย่าง ส่วนการยกเลิกหนังสือรับรองการเดินทางเข้าไทย (ซีโออี) ที่ค่อนข้างได้รับเสียงร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่ามีขั้นตอนมากนั้น จะยกเลิกได้ก็ต่อเมื่อพรก.ฉุกเฉินถูกยกเลิกแล้ว ขณะนี้จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าจะสามารถยกเลิกได้หรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศบค. เป็นหลัก” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ขั้นตอนปฏิบัติมาตรฐาน (เอสโอพี) จะเหมือนกันทั่วประเทศ แบ่งเป็น 1.ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว เดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และตรวจไม่พบเชื้อโควิด สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทั่วประเทศ ตามแนวทางไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ 2.ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว แต่เดินทางมาจากประเทศความเสี่ยงระดับกลางขึ้นไป ต้องกักตัวในพื้นที่บลูโซน หรือการจัดการพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวและรูปแบบการจัดการท่องเที่ยว (พื้นที่สีฟ้า) เพื่อให้มีแรงจูงใจสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการในพื้นที่ มีมาตรการป้องกันและควบคุมโรคต่างจากมาตรการตามระดับของศบค. และสามารถกำหนดหรือปรับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคให้เป็นไปตามระดับการจัดการตามพื้นที่เฝ้าระวังได้เอง โดยสามารถเปิดกิจกรรมกิจกรรมได้ทุกประเภท ยกเว้นสถานบริการ สถานบันเทิง และสถานบริการอื่นในลักษณะคล้ายกัน ที่ยังไม่อนุญาตให้เปิด รวมถึงห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 500 คน และ 3.ผู้ที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโดส สามารถเดินทางเข้ามาได้ แต่ต้องกักตัวในสถานกักกันโรคที่รัฐบาลจัดสรรไว โดยหากเดินทางผ่านเครื่องบิน กักตัว 10 วัน เดินทางผ่านทางบก กักตัว 14 วัน

ทั้งนี้ จังหวัดที่ขยายเพิ่ม 15 จังหวัด ได้แก่ 1.จังหวัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) 2.สมุทรปราการ (สนามบินสุวรรณภูมิ) 3.ประจวบคีรีขันธ์ (ตำบลหัวหิน หนองแก) 4.เพชรบุรี (เทศบาลเมืองชะอำ) 5.ชลบุรี (พัทยา อำเภอบางละมุง ตำบลนาจอมเทียน ตำบลบางเสร่ เกาะสีชัง อ.ศรีราชา) 6.ระนอง (เกาะพยาม) 7.เชียงใหม่ (อำเภอเมือง แม่ริม แม่แตง ดอยเต่า) 8.เลย (เชียงคาน) 9.บุรีรัมย์ (เมือง) 10.หนองคาย (เมือง ศรีเชียงใหม่ ท่าบ่อ สังคม) 11.อุดรธานี (เมือง นายูง หนองหาน ประจักษ์ศิลปาคม กุมภวาปี บ้านดุง) 12.ระยอง (เกาะเสม็ด) 13.ตราด (เกาะช้าง) 14.กระบี่ (ทั้งจังหวัด) และ 15.พังงา (ทั้งจังหวัด) รวม 2 จังหวัดที่เปิดนำร่องในระยะแรก ได้แก่ 1.จังหวัดภูเก็ต 2.สุราษฎร์ธานี เป็นทั้งหมด 17 จังหวัด

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image