‘ปิ่นทอง อินดัสเตรียล’ เชื่อศักยภาพไทยยังแข่งขันได้ จ่อขายหุ้นไอพีโอ 290 ล้านหุ้น

‘ปิ่นทอง อินดัสเตรียล’ เชื่อศักยภาพไทยยังแข่งขันได้ แม้การเมืองไม่นิ่ง จ่อขายหุ้นไอพีโอ 290 ล้านหุ้น

นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ PIN เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 25 ปี โดยมุ่งพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม พร้อมระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันของผู้ประกอบการในพื้นที่พาณิชยกรรม มีการพัฒนาอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า เพื่อขายสำหรับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมบนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่โลจิสติกส์ รวมถึงลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PPF) และเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนดังกล่าวด้วย บริษทัฯ จึงเดินหน้าเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวนไม่เกิน 290 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

นายพีระ กล่าวว่า ด้านความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนาม มาเลเซีย ถือว่าไทยยังมีอานิสงส์อยู่มาก ตั้งแต่ภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศที่ตั้งอยู่ในจุดที่ดี สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นๆ ได้ รวมถึงโครงการวันเบลท์วันโรด (One Belt One Road) หรือเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ของจีน ที่จะเชื่อมต่อเส้นทางขนส่งทางบกในหลายประเทศเข้าด้วยกัน มีระบบสาธารณูปโภคที่ดี และประเทศไทยไม่มีภัยธรรมชาติอย่างภูเขาไฟ ทำให้ไทยได้เปรียบหากเทียบกับอีกหลายประเทศ

“สิ่งที่เป็นกังวลก็คือ ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล ส่วนอื่นไม่มีความกังวลอะไร เนื่องจากบริษัทฯ มีความพร้อมค่อนข้างสูง ทำให้หากภายในเราสงบเชื่อว่าการเดินหน้าต่อจะทำได้ไม่ยาก เพราะแม้การเมืองไทยยังไม่เสถียรมากนัก แต่ธุรกิจก็สามารถเดินหน้าต่อได้ สะท้อนจากช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ก็ยังอยู่กันได้ นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาก็ไม่ได้กังวลมากนัก จึงเชื่อว่าหลายสิ่งยังมีความได้เปรียบอยู่” นายพีระ กล่าว

นายสุรัช พัฒนวงศ์ยืนยง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค กล่าวว่า บริษัทฯ มีกลุ่มในธุรกิจประเภทเครื่องมือแพทย์ อิเล็กทรอนิกส์ วัสดุก่อสร้าง รวมถึงอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อให้สอดรับกับแผนพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นเข้ามาบ้างแล้ว อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ที่ใช้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์สมัยใหม่ ซึ่งบริษัทฯ มีลูกค้าทั้งในไทยและลูกค้าจากต่างประเทศเข้ามาใช้บริการ รวมถึงเมื่อเปิดประเทศอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาแล้ว ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของบริษัทฯ มากขึ้น เพราะลูกค้าระดับผู้บริหารสามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกิจได้แบบไม่ต้องกักตัว 14 วันเหมือนที่ผ่านมา

Advertisement

นายพิมล เลิศทรัพย์อนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน PIN กล่าวว่า ภาพรวมรายได้จากการขายและการบริการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) อยู่ที่ 888.88 ล้านบาท 789.28 ล้านบาท และ 1,062.85 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 216.43 ล้านบาท 223.70 ล้านบาท และ 403.89 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยการเติบโตที่ดีในปีที่ผ่านมานั้น มาจากการขายที่ดินที่พัฒนาแล้วในโครงการ PIN3, PIN4 และ PIN5 มากขึ้น และยังสามารถเพิ่มสัดส่วนของรายได้ประจำและสม่ำเสมอ ที่มาจากรายได้การให้เช่าและให้บริการเพิ่มขึ้นรวมถึงบริหารควบคุมค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพ โดยแม้เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่สามารถเดินทางมาดูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและทำสัญญาได้ แต่ด้วยการบริหารจัดการ ส่งผลให้รายได้จากการขายที่ดินสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 205.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากจำนวนที่ดินที่ขายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิ 99.31 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 79% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 55.57 ล้านบาท

นายธนัท วงษ์ชูแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.หลักทรัพย์ กรุงศรี ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ จำนวนไม่เกิน 290 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น ล่าสุด PIN อยู่ระหว่างการรออนุมัติไฟลิ่ง จากสำนักงาน ก.ล.ต. โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นไอพีโอได้ ภายหลังได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน กลต. ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปลายปีนี้ และหากมีความชัดเจนทางบริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ PIN จัดเป็นหุ้นของกิจการที่อยู่ในช่วงเติบโต (Growth Stock) และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่นตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งการดำเนินงานจากแผนการลงทุนโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ เพื่อรองรับการลงทุนของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) ส่วนที่เหลือนำไปชำระคืนเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป อันจะทำให้บริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของรายได้แก่บริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคงต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image