ซีไอเอ็มบีไทย ชี้เงินเฟ้อสูงขึ้น กดจีดีพีปี 65 เหลือ 2% แนะแบงก์ชาติไม่ต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย

ซีไอเอ็มบีไทย ชี้เงินเฟ้อสูงขึ้น กดจีดีพีปี 65 เหลือ 2% แนะแบงก์ชาติไม่ต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย เพราะเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่ดี

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า จากกระแสความกังวลถึงความเสี่ยงสำคัญปี 2565 ว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่สภาวะ Stagflation หรือ เศรษฐกิจชะลอตัวแรง ที่มักตามมาด้วยปัญหาคนว่างงาน พร้อมกับเผชิญปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มองว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการน้ำมันเร่งตัวเร็ว สวนทางกับกำลังการผลิตน้ำมันเติบโตช้า คาดว่าสถานการณ์จะลากยาวถึงไตรมาสแรกปีหน้า หลังจากนั้น ราคาน้ำมันจะเริ่มลดลงและกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง กรณีฐานเช่นนี้ อัตราเงินเฟ้อของไทยในไตรมาสสี่ปี 2564 น่าจะอยู่ที่ราว 1.5% จากปีก่อน และน่าจะขยับขึ้นไปที่เฉลี่ยราว 1.7% ในปี 2565 ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยที่ 83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสสี่ปีนี้ และ 66 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปีหน้า

อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะสูงกว่า 2% ในไตรมาสสามปี 2565 จากฐานที่ต่ำปี 2564 แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นชั่วคราวตามราคาน้ำมัน ไม่น่าเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาสสี่ปี 2564 น่าจะฟื้นตัวจากไตรมาสสามได้ราว 1.4% แม้จะหดตัวเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนราว 0.9% แต่ในภาวะเช่นนี้ เศรษฐกิจไทยยังห่างไกลจากภาวะ stagflation โดยเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้ราว 3.2% ในปีหน้า ยกเว้นมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมที่ทำเงินเฟ้อเร่งขึ้น

โดยเชื่อว่าปัญหาราคาน้ำมันและปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจอื่นๆ จะคลี่คลายในไตรมาสแรกของปีหน้า เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวช่วงสั้น และยังไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินเข้มงวดด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสกัดเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี เพื่อเตรียมพร้อมหากปัญหาราคาน้ำมันและด้านอุปทานอื่นยืดเยื้อยาวนานกว่าคาด เงินเฟ้อที่เร่งขึ้นแรงปีหน้ามีผลลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในแทบทุกประเทศ และอาจดึงจีดีพีของไทยขยายตัวต่ำกว่าคาดอยู่ที่ 2.0% แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังเป็นบวกก็นับว่าปัญหาด้านเงินเฟ้อไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤติ และน่าจะเป็นภาวะชั่วคราว

Advertisement

ในทางปฏิบัติเศรษฐกิจไทยอาจไม่ชะลอตัวอย่างในแบบจำลองก็ได้ หากภาครัฐมีมาตรการรับมือที่เหมาะสม เช่น การไม่จำเป็นต้องเร่งขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่มาจากด้านอุปทาน เพราะจะยิ่งทำให้การฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนของเอกชนทรุดตัวลงไปอีก อาจเสริมสภาพคล่องธุรกิจขนาดเล็กที่ขาดรายได้ให้สามารถรักษาระดับการจ้างงาน และมีเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจให้อยู่ได้ในปีหน้า นอกจากนี้ นโยบายการคลังยังจำเป็นในการดูแลผู้มีรายได้น้อยด้วยมาตรการเงินโอนและลดค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าและค่าขนส่งมวลชน

แต่ไม่ควรบิดเบือนกลไกตลาดด้วยการลดราคาน้ำมัน เพราะจะเป็นภาระทางการคลังที่มาก และจะไม่สนับสนุนนโยบายการประหยัดพลังงานในระยะยาว ดังนั้นเงินเฟ้อไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ให้ระวังมาตรการที่มารับมือกับเงินเฟ้อ เช่นการรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเศรษฐกิจชะลอ หรือการลังเลที่จะใช้นโยบายการคลังในการดูแลผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวในปีหน้าได้

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image