ปตท. มุ่งเทรนด์พลังงาน “Go Green – Go Electric” ลุยลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ปตท. มุ่งเทรนด์พลังงาน “Go Green – Go Electric” ลุยลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

เวลา 09.40 น. วันที่ 3 พฤศจิกายน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในสัมมนา “Boost Up Thailand 2022” รูปแบบไลฟ์สตรีมมิ่งผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “พลิกธุรกิจ สู้เศรษฐกิจหลังโควิด” จัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์มติชน ว่า แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมพลังงงาน คือ “Go Green” และ “Go Electric” ซึ่งโก กรีน คือจาก เดิมใช้พลังงานฟอสซิล ในระยะยาวกลายเป็นการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนด้าน โก อิเล็กทริกส์คือ การใช้ไฟฟ้าที่สะดวกและสะอาดเพราะตัวที่จะผลักดันคือ การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และ การพัฒนานวัตกรรมของแบตเตอรี่

มีการคาดการณ์ว่า จุดสูงสุดของน้ำมันโลก คือปี ค.ศ.2025 และจะค่อยๆลดลงเรื่อย ส่วนแนวโน้มของการใช้ก๊าซธรรมชาติของโลก ยังโตอย่างต่อเนื่องจนถึง ปี ค.ศ.2040 เพราะว่าก๊าซเป็นการใช้พลังงานจากฟอสซิลที่สะอาดที่สุด และทั่วโลกก็มีการลงทุนในด้านนี้จำนวนมาก ดังนั้นก๊าซธรรมชาติ จะเป็นพลังงานในช่วงเปลี่ยนผ่าน ก่อนที่จะเป็นพลังงานทดแทนอย่างเต็มรูปแบบ สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่มีผลต่อกลยุทธ์ การทำงานของบริษัทน้ำมัน หรือของ ปตท.เอง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

Advertisement

โดยหลายประเทศประกาศจุดยืนพลังงานของตัวเอง ด้านประเทศไทยมีการประกาศจุดยืนว่าในปี 2065 จะมุ่งสู่การเป็นเป็น Net Zero จึงทำให้บริษัทพลังงาน ต่างเริ่มหันไปลงทุนด้านพลังงานทดแทนมากขึ้น ทั้งนี้ ปตท.ได้ปรับตัวครั้งใหญ่เช่นกัน โดยปรับวิสัยทัศน์ ขององค์กร “powering life with future energy and beyond” หรือ “ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังงานแห่งอนาคต” ถือเป็นจุดมุ่งหมาย มุ่งไปสู่พลังงานของอนาคต ยังคงสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย ส่วนบียอนด์ (Beyond)  จะเป็นการขับเคลื่อนออกไปนอกเหนือจากพลังงานมากขึ้น

อนาคตพลังงานจะเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ทาง ปตท.เองจะเข้าไปเสาะแสวงหาพลังงานเหล่านี้ด้วย ไปหาแหล่งการผลิต เพราะเมื่อโลกเปลี่ยน ไทยเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามด้วย ส่วนด้านบียอนด์นั้น จะเป็นตัวที่พาประเทศไทยไปถึงจุดที่สร้างอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) อีกขั้นของการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยสิ่งเหล่านี้ต้องการการลงทุน การผลักดัน จากหลายภาคส่วนทั้ง ภาครัฐ และภาคเอกชน ที่ไม่ใช่เพียงรายใดรายหนึ่ง เพราะฉะนั้นต้องช่วยกัน

Advertisement

ธุรกิจพลังงานอนาคตของปตท.จะมุ่งไปที่พลังงานทดแทน และแบตเตอรี่ หรือ ตัวกักเก็บพลังงาน เนื่องจากพลังงานทดแทนมีข้อเสียคือ เรื่องความไม่เสถียร เพราะลมหรือแดดไม่ได้มีตลอดเวลา ดังนั้น ตัวที่จะทำให้พลังงานทดแทนมีความนิ่งได้ก็คือ เทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน หรือแบตเตอรี่ ด้านรถยนต์อีวี ถ้าใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ จะเป็นส่วนช่วยให้ประเทศไทยขับเคลื่อนสู่พลังงานมากขึ้น รวมทั้งมีการศึกษา พลังงานไฮโดรเจนด้วน

ส่วนบียอนด์นั้นจะมีพื้นที่ที่จะเข้าไปศึกษาและลงทุน ได้แก่ วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (life science) ธุรกิจเรื่องสุขภาพ เรื่องยา เครื่องมือทางการแพทย์และอาหารเสริม อีกส่วนคือสินค้ามูลค่าสูง เป็นการต่อยอดจากปิโตรเคมี โดยพลาสติกที่มีมากกว่าพันชนิด ซึ่งปตท. จะไปลงทุนในกลุ่มสินค้าพลาสติกที่ใช้เทคโนโลยีสูงๆมากขึ้น  อาทิ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และด้านไลฟ์สไตล์ ที่จะทำการลงทุนมากขึ้น โดย บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) หรือ โออาร์ เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ไป ดังนั้นก็ต้องปรับตัวจากที่ทำธุรกิจด้านน้ำมันอย่างเดียว ไปสู่ธุรกิจไลฟ์สไตล์เพิ่มขึ้น รวมทั้งการลงทุนพัฒนาด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟทางคู่ เป็นต้น เทคโนโลยีเอไอ หุ่นยนต์ ดิจิทัล โดยบียอนด์มาจากเป้าหมายอุตสาหกรรมใหม่ ปตท.จะเข้าไปมีส่วนในการลงทุนนี้ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image