สรรพากร โชว์ผลเก็บภาษี อี-เซอร์วิส เดือนแรก ทะลุ 686 ล้านบาท ปรับเป้าทั้งปีขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ตามที่กรมสรรพากรได้ออกกฎหมายจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริการอิเล็กทรอนิกส์จากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศ ที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการในประเทศไทยหรือ ภาษี อี-เซอร์วิส ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นมา นั้น ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกของการชำระภาษี มีแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนแล้วจำนวน 106 ราย และมียอดค่าบริการอิเล็กทรอนิกส์รวมกว่า 9,800 ล้านบาท คิดเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระในเดือนแรกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 686 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าที่คาดการณ์ไว้ถึง 65% ทำให้คาดว่าทั้งปีกรมสรรพากรน่าจะสามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้จากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศประมาณ 8,000 – 10,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าทั้งปีจะได้ 5,000 ล้านบาท
นายเอกนิติ กล่าวว่าโดยกฎหมายภาษีอี-เซอร์วิส มีผลบังคับกับแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการที่เป็นต่างชาติ ในประเทศไทยและมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบ VES (VAT for Electronic Service) บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร แยกประเภทได้ ดังนี้ บริการโฆษณาออนไลน์ มูลค่าบริการอิเล็กทรอนิกส์ 6,067.37 ล้านบาท คิดเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม424.72 ล้านบาท บริการขายสินค้าออนไลน์มูลค่าบริการอิเล็กทรอนิกส์ 2,993.96 ล้านบาท คิเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม209.58 ล้านบาท บริการสมาชิก เพลง หนัง เกมส์ ฯลฯ มูลค่าบริการอิเล็กทรอนิกส์ 667.07 ล้านบาท คิดเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม 46.70 ล้านบาท บริการแพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลาง มูลค่าบริการอิเล็กทรอนิกส์ 10.97 ล้านบาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7.7 แสนบาท บริการแพลตฟอร์มจองที่พัก ตั๋วเดินทาง ฯลฯ มูลค่าบริการอิเล็กทรอนิกส์ 68.78 ล้านบาท คิดเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม 4.81 ล้านบาท รวมมูลค่าบริการอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด 9,808.15 ล้านบาท คิดเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม 686.57 ล้านบาท
นายเอกนิติ กล่าวว่าการเก็บภาษี อี-เซอร์วิสนี้ เป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ด้วยการสร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษีระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจบริการออนไลน์และมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในขณะที่ผู้ประกอบการต่างชาติที่ให้บริการออนไลน์เหมือนกันไม่ต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มรายได้ทางหนึ่งให้กับประเทศไทยอีกทางหนึ่งและ จะช่วยให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลรายได้ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่จะสามารถนำไปใช้ในการคำนวณเป็นฐานภาษีใหม่ที่จะเป็นรายได้อีกทางหนึ่งของประเทศไทยในอนาคตอีกด้วย