อัตราว่างงานพุ่ง สูงสุดหลังเกิด ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ ชี้ส่วนใหญ่จบบริหาร-การตลาด แนวโน้มว่างงานยาวขึ้น

สภาพัฒน์เผย วิกฤตโควิดทำพิษ ส่งผลให้อัตราว่างงาน ไตรมาส 3/64 สูงสุด นับตั้งแต่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เตรียมชง ครม. 23 พ.ย.นี้ ยกเว้นภาษี เงินโครงการรักษาระดับการจ้างงาน

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การว่างงานในไตรมาส 3 ของปี 2564 เพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 โดยมีผู้ว่างงาน 8.7 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 2.25% ทั้งนี้ ยังสูงสุดในรอบหลังจากที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ แต่ยังถือว่าน้อยกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ซึ่งอัตราว่างงานอยู่ที่ 5% โดยพบว่าผู้ที่มีการว่างงานสูงสุด 3.63% เป็นผู้ที่มีศึกษาระดับอุดมศึกษา รองลงมาเป็น ปวส. 3.16%

นายดนุชากล่าวว่า ผู้ว่างงานส่วนใหญ่จบในสาขาทั่วไป (บริหารธุรกิจ การตลาด) จึงมีแนวโน้มประสบปัญหาการว่างงานยาวนานขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้อย่างจำกัด และคนกลุ่มนี้ที่มีทักษะไม่ต่างกันจึงหางานได้ยากขึ้น ขณะที่แรงงานที่มีอายุ 15-19 ปี มีอัตราการว่างงานสูงสุด 9.74% รองลงมาเป็นอายุ 20-24 ปี ที่ 8.35% สะท้อนว่าโควิดที่ส่งผลกระทบต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการที่เคยชะลอการเลิกจ้างบางส่วนไม่สามารถรับภาระต่อได้ และจำเป็นต้องเลิกจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น

นายดนุชากล่าวด้วยว่า เด็กจบใหม่ยังไม่มีตำแหน่งรองรับ เนื่องจากผู้ประกอบการยังได้รับผลกระทบและรอดูสถานการณ์ จึงชะลอการขยายตำแหน่งงาน การว่างงานของแรงงานในระบบมีสัดส่วนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานต่อผู้ประกันตนอยู่ที่ 2.47% ลดลงจากช่วงไตรมาสก่อนหน้าและปีก่อน เนื่องจากช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการและผู้ประกันตนในพื้นที่ควบคุมสูงสุด ประกอบกับสถานประกอบการมีการหยุดกิจการชั่วคราวด้วยเหตุสุดวิสัยแทนการเลิกจ้าง ซึ่งมีจำนวนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย 2.1 แสนคน ในเดือนกันยายน 2564 เพิ่มขึ้นจาก 0.9 แสนคน ณ สิ้นไตรมาสก่อน

“ตัวเลขการว่างงาน 2.25% เกิดจากไตรมาส 3 มีการควบคุมการแพร่ระบาดเข้มงวดจากสถานการณ์โควิด ธุรกิจไม่มีการเปิดตัว จึงส่งผลให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี แนวโมในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ การว่างงานน่าจะลดลง เนื่องจากมีการเปิดประเทศแล้วกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาเดินหน้าต่อไป หากไม่มีปัญหาการระบาดโควิดอีกรอบ หรือมีการระบาดที่มีวงจำกัด และมีการจัดการได้รวดเร็ว” นายดนุชากล่าว

Advertisement

นายดนุชากล่าวว่า ยังมีประเด็นที่จะต้องติดตามในระยะถัดไป ได้แก่ 1.การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 2.ผลกระทบของอุทกภัยต่อแรงงานภาคเกษตร 3.ภาระค่าครองชีพที่อาจปรับเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 4.การจัดการปัญหาการสูญเสียทักษะจากการว่างงานเป็นเวลานานและการยกระดับทักษะให้กับแรงงาน และ 5.การส่งเสริมให้แรงงานที่ประกอบอาชีพอิสระที่ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ของสำนักงานประกันสังคม เพื่อรับการช่วยเหลือเยียวยาให้เป็นผู้ประกันตนอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงการคลังจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอยกเว้นภาษีจากเงินที่ได้จากโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ไม่ต่ำกว่า 95% โดยรัฐจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อส่งเสริมและรักษาการจ้างงานให้แก่นายจ้าง ให้กับลูกจ้างสัญชาติไทย จำนวนไม่เกิน 200 คน ในอัตรา 3,000 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image