เชื่อมั่นผู้บริโภค-ธุรกิจ พ.ย.ดีดตัวสูงสุด 7 เดือน รับเปิดประเทศ

เชื่อมั่นผู้บริโภค-ธุรกิจ พ.ย.ดีดตัวสูงสุด 7 เดือน รับเปิดประเทศ ยังไม่ตกใจไอไมครอนระบาด ‘ม.หอค้า’ ประเมินจีดีพีปีหน้า 4.2%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษา ศูนยพ์ยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (ภาคธุรกิจ) เดือนพฤศจิกายน 2564 พบว่า ความเชื่อมั่นทั้งภาคประชาชนและผู้ประกอบการผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ทำให้ความเชื่อมั่นทุกรายงานปรับตัวสูงสุดในรอบ 7-8 เดือน นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 เนื่องจาก ศบค. ผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีความเสี่ยงต่ำบินเข้ามาไทยโดยไม่ต้องกักตัว ทยอยปรับลดพื้นที่ควบคุม ยกเลิกการเคอร์ฟิว เพื่อให้ธุรกิจและประชาชนสามารถดำเนินชีวิตและประกอบธุรกิจได้ใกล้เคียงปกติ ลดผลกระทบด้านเศรฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ ประกอบกับตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ส่งผลเชิงบวกต่อการจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยเที่ยวเพิ่มขึ้น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอไมครอน แต่ความตื่นตระหนกน้อยกว่าครั้งก่อน เพราะความเชื่อมั่นต่อการฉีดวัคซีนในอัตราสูงขึ้น และยังไม่การระบุถึงการเสียชีวิตจากไวรัสกลายพันธุ์ รวมถึงบรรยากาศเข้าเทศกาลปีใหม่ทำให้ประชาชนผ่อนคลายมากขึ้น

นายธนวรรธน์กล่าวว่า จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ค่าดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 38.8 41.4 และ 54.5 ตามลำดับ จากเดือนตุลาคม อยู่ที่ 37.8 40.3 และ 53.5 ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) ดีขึ้นจากระดับ 43.9 เป็น 44.9 ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุน ใช้จ่าย ท่องเที่ยว รวมถึงความสุขต่อการใช้ชีวิตดีขึ้น ขณะที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ดีขึ้นจาก 31.8 เป็น 33.7

“ทิศทางความเชื่อมั่นของภาคประชาชนและผู้ประกอบการ จากนี้มีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง ผลจากการฉีดวัคซีนในประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ คลายล็อกดาวน์ การเปิดประเทศ มาตรการกระตุ้นภาครัฐ ได้ส่งผลเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง และทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ 1.0-1.5% ตอนนี้ทั้งประชาชนและผู้ประกอบการคาดหวังว่ารัฐบาลจะเพิ่มเติมมาตรการกระตุ้นใช้จ่าย เช่น คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ช้อปดีมีคืน และของขวัญปีใหม่ของแต่ละหน่วยงานที่จะลดค่าใชจ่ายและกระตุ้นเดินทางท่องเที่ยวปลายปีถึงปีใหม่ ซึ่งจะมีเงินเข้าระบบได้ทันปลายปีนี้กว่า 2-3 แสนล้านบาท จะช่วยส่งให้เศรษฐกิจไทยปีหน้า ขยายตัวในกรอบ 3.5-4.5% ค่ากลาง 4.2% ซึ่งประเมินจากเศรษฐกิจครึ่งปีแรก 2565 ขยายตัวเฉลี่ย 3.5% และครึ่งปีหลังขยายตัวเฉลี่ย 4.6% บนปัจจัยการส่งออกโตเกิน 5% จำนวนนักท่องเที่ยวเกิน 2 แสนคนต่อเดือน มีเม็ดเงินรวมอัดเข้าระบบเศรษฐกิจ 1-1.5 ล้านล้านบาท และไวรัสกลายพันธุ์ไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นล็อกดาวน์และปิดประเทศ” นายธนวรรธน์กล่าว

Advertisement

นายธนวรรธน์กล่าวต่อว่า สำหรับข้อเสนอรัฐต่อภาครัฐที่ควรเร่งและดำเนินการต่อเนื่องถึงครึ่งปี 2565 คือ 1.การกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวของประเทศให้กลับมาคึกคักในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวสิ้นปี 2.เตรียมมาตรการรับมือและแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆ หากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนระบาด 3.เร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านการใช้จ่ายของประชาชนภายในประเทศ และส่งเสริมให้ประชาชนเดินทาง ออกต่างจังหวัดในรูปแบบที่ปลอดภัยช่วงเทศกาล 4.ต้องการให้รัฐดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการเปิดกิจการและมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นจากมาตรการสาธารณสุข และ 5.ออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการมาอย่างยาวนาน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image