วิเคราะห์ตลาดคริปโทฯปีนี้ หมดยุค’กระทิง’เข้ายุค’หมี’ นักลงทุนต้องอ่าน!!

จอดป้ายประชาชื่น : คริปโทฯไทยไปไหนต่อ?

‘เอวา แอดไวเซอรี่’ วิเคราะห์ตลาดคริปโทฯปีนี้ หมดยุค’กระทิง’สู่’หมี’ นักลงทุนต้องอ่าน!!

นายนิรันดร์ ประวิทย์ธนา ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท เอวา แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล เปิดเผยถึงภาวะสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2565 ว่า คาดการณ์ในอนาคตเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่ถ้ามองจากสถิติที่ผ่านมา ปี 2565 มีแนวโน้มสูงเหมือนกันที่สินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้อยู่ในภาวะตลาดกระทิงแบบปี 2564 ปัจจัยหลักมาจาก เรื่องแรก ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มีการลดวงเงินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) รวมไปถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงมีแนวโน้มสูงที่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงจะถูกเทขายในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และปริมาณเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง

จึงเป็นไปได้ว่าเงินจำนวนหนึ่งจะถูกถอนออกจากตลาดหุ้น ตลาดสกุลเงินดิจิทัล (คริปโทเคอเรนซี่) เข้าสู่ตลาดพันธบัตร ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริง เป็นไปได้ว่าตลาดคริปโทฯ จะมีแรงขายเพิ่มขึ้น เพราะในช่วงที่ผ่านมาเงินในฝั่งสถาบันการเงินในช่วงปี 2563-2564 มาลงทุนในตลาดคริปโทฯค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับในอดีต แปลว่าเมื่อสถาบันการเงินมาลงทุนในคริปโทฯ พอมีภาวะกระทบจากนโยบายการเงินสหรัฐฯ เงินปริมาณมากก็จะไหลกลับเข้าสู่ตลาดพันธบัตรรัฐบาล

Advertisement

ปัจจัยที่สอง วงจรของคริปโทฯค่อนข้างสั้น 3-4 ปี วงจรของตลาดหุ้นกินเวลา 15-20 ปี โดยสถิติที่ผ่านมาวงจรของคริปโทฯ จะเฉลี่ยอยู่ที่ 4 ปี หรือที่เรียกว่า “4 Year Cycle” ซึ่งอ้างอิงจากเหรียญบิทคอยน์ จะมีการทำพฤติกรรมที่เรียกว่า “Bitcoin Halving” หลังฮาล์ปวิ่งราคาบิทคอยน์จะวิ่งขึ้นค่อนข้างแรง และหลังจากนั้นก็จะมีการปรับฐาน ซึ่งฮาล์ปวิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2563 ปี 2564 ราคาคริปโทฯจึงได้ขึ้นแรง ดังนั้นถ้าอ้างอิงจากสถิติเชื่อว่าปี 2565 จะมีการปรับฐาน เพียงแต่การปรับฐานของคริปโทฯในรอบนี้ ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการปรับฐานแบบตลาดแตกเหมือนปี 2561 แต่จะเป็นการปรับฐานสิ้นสุดภาวะตลาดกระทิง แต่อาจจะไม่ถึงขั้นฟองสบู่แตก ราคาร่วง 90% เหมือนเมื่อก่อน เพราะในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาคริปโทฯเริ่มมีการใช้งานจริงในระบบเศรษฐกิจโลก ทำให้พ้นจากภาวะสินทรัพย์เก็งกำไรเหมือนในอดีต

คำแนะนำนักลงทุน

นักลงทุนแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นนักเก็งกำไรต้องระวัง เพราะนักเก็งกำไรในปี 2564 มีความสุขกับผลตอบแทนที่ดี โดยการไปซื้อเหรียญซิ่ง หรือ Shitcoin เป็นเหรียญที่ไม่มีมูลค่า มีการปั่นราคากัน ด้วยภาวะตลาดหมีที่จะเกิดขึ้นในปี 2565 ถ้าคุณไม่มีความสามารถในการเดย์เทรด (Day Trade) โอกาสเกิดความเสี่ยงค่อนข้างเยอะ ส่วนกลุ่มนักลงทุนระยะยาว น่าจะเป็นภาวะที่ดีถ้ามีการปรับฐานตามที่คิดไว้จริง เป็นโอกาสที่สามารถไล่ซื้อคริปโทฯในราคาที่ปรับฐานลง จนมูลค่าถูกลงเมื่อเทียบกับราคา เป็นโอกาสที่นักลงทุนระยะยาวจะสามารถเก็บเหรียญคริปโทฯที่มีพื้นฐานดี ราคาถูกลง

Advertisement

ทั้งนี้ มีโอกาสที่จะเห็นการปรับฐานตลาดคริโทฯในไตรมาสที่ 2/2565 โดยอาศัยปัจจัยที่เฟดจะมีการขึ้นดอกเบี้ย ในช่วงไตรมาสที่ 3/2565 ทำให้ตลาดคริปโทฯจะมีการเคลื่อนไหวก่อน มองไตรมาสที่ 1/2565 ยังไม่มีความกังวลอะไรมากนัก นอกจากจะมีปัจจัยอะไรที่เข้ามากระทบ แต่ไตรมาสที่ 2/2565 ต้องเตรียมความพร้อม ปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรองรับแรงกระแทก

ตลาดคริปโทฯในประเทศไทย

ในอดีตคริปโทฯเป็นการลงทุนที่ไม่กระทบกับเศรษฐกิจจริง แต่ช่วงหลังตลาดคริปโตมีความหวือหวามากขึ้น ภาคเอกชนได้นำคริปโทฯมาใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ มีการใช้งานจริง ในระบบเศรษฐกิจเช่น Brooker Group ลงทุนในบิทคอยน์, กลุ่มเจมาร์ท (Jay Mart) ที่ออกเหรียญเจฟิน (JFin) มาใช้ในการซื้อของแลกเปลี่ยนสินค้า, กลุ่มอาร์เอส (RS) ออกเหรียญป็อปคอยน์ เอามาใช้ในอีโคซิสเท็มของธุรกิจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่จะสำเร็จหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องรอดูว่าคนที่ออกแบบนำคริปโทฯมาใช้งานได้จริง จะสามารถทำให้มีประสิทธิภาพได้แค่ไหน โดยข้อดีคือสร้างความตระหนักรู้เข้าถึงกลุ่มคนจำนวนมากขึ้น มีคนเข้ามาลงทุนมากขึ้น แต่ข้อเสียคือก็มีนักเก็งกำไรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ภาคธุรกิจที่เริ่มมาทำตรงนี้ แต่ก็มีความกังวลอยู่สองเรื่องคือ ตัวอย่างการใช้งานจริงเมื่อทำจริงแล้วจะได้ผลหรือไม่ และหน่วยงานกำกับของรัฐเห็นชอบหรือไม่กับสิ่งที่ทำ ซึ่งก็ต้องดูทิศทางกันต่อไป

ขอหน่วยงานรัฐเปิดใจกว้าง

เนื่องจากผมได้ทำธุรกิจคริปโทฯอยู่ ทำให้เกิดผลประโยชน์ขัดกัน มองว่าโลกของคริปโทฯ บล็อกเชนจะเข้ามาดิสรัปวงการทางการเงิน หน่วยงานกำกับของรัฐในต่างประเทศ มีการเปิดกว้าง ให้ทดสอบทดลองกับคริปโทฯ เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พยายามจะคว้าประโยชน์จากกระแสคริปโทฯ สตาร์ตอัพหรือธุรกิจด้านคริปโทฯ อาจจะมีโอกาสขยายตัวในประเทศเหล่านี้ ทำให้หน่วยงานกำกับเริ่มเห็นแล้วว่าคริปโทฯจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจขนาดไหน หัวใจสำคัญคือการเปิดให้ทดสอบทดลองเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าขนาดของตลาดคริปโทฯในปัจจุบันยังเล็กมาก เมื่อเทียบกับตลาดการเงินจริง ดังนั้นการเปิดโอกาสให้ทดสอบทดลอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎระเบียบใหม่ หรือในรูปแบบแซนด์บ็อกซ์ ทำให้รู้ได้ว่าคริปโทฯมีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ โดยที่ไม่กระทบกับเศรษฐกิจจริงอย่างรุนแรง

จึงอยากให้ภาครัฐไทยเปิดใจและเปิดกว้างในการทดลองเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ มองว่าเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่โลกการเงินยุคใหม่ มากกว่ามองเป็นภัยคุกคามต่อระบบเศรษฐกิจ ส่วนตัวก็เข้าใจหน่วยงานกำกับดูแลของไทย อย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กังวลว่าจะมีการหลอกลวงนักลงทุน การฟอกเงิน การนำเงินเข้าออกนอกประเทศ แต่อย่างที่กล่าวไว้ว่าตลาดคริปโทฯยังเล็กมาก ถ้าไม่เริ่มทดลองทำในตอนเล็ก เมื่อมันใหญ่แล้วคุณจะไม่สามารถทดลองทดสอบได้แล้ว ต้องเลือกระหว่างใช่หรือไม่ใช่

ไทยขึ้นฮับคริปโทได้

หน่วยงานกำกับดูแลของไทย ควรจะมีบทบาทในการมอนิเตอร์ว่าคริปโทฯ ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกหรือเชิงลบต่อประเทศแค่ไหน เมื่อชั่งน้ำหนักได้แล้วว่ามีเชิงบวกเชิงลบอย่างไร จะสามารถกำกับดูแลได้โดยความเข้าใจ แต่ในปัจจุบันเป็นการกลัวว่าคริปโทฯจะเข้ามาทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ แล้วเกิดการกำกับในเชิงรับ คือ การห้ามทุกอย่างที่รู้สึกว่าไม่สบายใจ ซึ่งเป็นอุปสรรคกับการประกอบธุรกิจคริปโทฯในประเทศ สตาร์ตอัพสัญชาติไทยหลายแห่งได้ย้ายธุรกิจไปต่างประเทศกันหมด เพราะรู้สึกว่าภาครัฐไทยไม่สนับสนุนธุรกิจในด้านนี้ ทั้งที่เป็นโอกาสที่ให้เศรษฐกิจไทยเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ หรือ New S-curve

ถ้าบอกว่าประเทศไทยจะทำระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง หรือ Decentralized Finance (DeFi) ไปแข่งกับโลก เชื่อว่าเป็นไปได้ พร้อมทั้งมีโอกาสเป็นผู้นำได้ เพราะสตาร์ตอัพไทยเก่งในด้านนี้เยอะ และตลาดไทยนำ DeFi มาใช้เป็นอันดับต้นๆของโลก จะไม่เหมือนกับ ฮ่องกง หรือ สิงคโปร์ ที่เป็นศูนย์กลางการเงินดั้งเดิมของโลก แต่จะเป็น “New World Financial Center” หรือศูนย์กลางการเงินของโลกยุคใหม่ ประเทศไทยมีศักยภาพไปถึงตรงนั้นได้ เหลือแค่ว่าภาครัฐสนับสนุนร่วมผลักดัน มากกว่าที่จะกลัวและสั่งห้ามทุกอย่าง

ปมรัฐไม่สนับสนุนนำคริปโทฯใช้จ่าย

บอกตามตรงเลย ธปท. ไม่มีสิทธิทำสิ่งนี้ แต่ ธปท. บอกได้ว่าคริปโทฯ ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายได้ (Legal Tender) ตรงนี้เห็นด้วย โดยสมมติว่านายเอติดหนี้นายบี นายเอจะเอาคริปโทฯจ่ายให้นายบี นายบีสามารถปฏิเสธได้ ว่าจะรับชำระหนี้ด้วยเงินบาทเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าเจ้าหนี้ต้องการรับคริปโทฯ ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ด้วยคริปโทฯได้ โดย ธปท. ไม่มีสิทธิห้ามตรงนี้ คริปโทฯไม่ใช่เงิน แต่เป็นสินทรัพย์ที่เอามาแลกเปลี่ยน เหมือนเอาข้าวสารมาแลกของ ตามหลักการแลกเปลี่ยนด้วยสินค้า (Barter Trade) ที่ไม่มีกฎหมายประเทศใดในโลกนี้ห้ามทำ

ถ้า ธปท. อยากห้ามการแลกเปลี่ยนแบบนี้ ต้องไปแก้กฎหมายว่า การถือครองคริปโทฯ เป็นสิ่งผิดกฎหมายเหมือนยาเสพติด แต่ตอนนี้การถือครองคริปโทฯเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ประชาชนสามารถเอาคริปโทฯมาแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้ อย่างไรก็ตามถ้ามีการออกกฎห้ามเอาคริปโทฯมาแลกเปลี่ยนสินค้า ก็จะเกิดความย้อนแย้งในเชิงกฎหมายทันที

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image