‘สรรพากร’ เผย หากได้กำไร จากขุดบิทคอยน์-เทรดคริปโทฯ ถือเป็นเงินได้ เข้าข่ายต้องยื่นภาษี

‘สรรพากร’ เผย หากได้กำไร จากขุดบิทคอยน์-เทรดคริปโทฯ ถือเป็นเงินได้ เข้าข่ายต้องยื่นภาษี

เมื่อวันที่ 7 มกราคม นายมงคล ขนาดนิด ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมสรรพากร กล่าวในหัวข้อ “คริปโทเคอร์เรนซี เสียภาษีอย่างไร” ผ่านเพจกองกฎหมาย กรมสรรพากรว่า คริปโทเคอร์ซี หรือสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นทรัพย์สินอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบหนึ่ง โดยผู้ที่เกี่ยวข้องจะเริ่มต้นจากคนทำเหมือง คนที่ได้เหรียญ ถือไว้แล้วนำไปฝาก เกิดผลตอบแทนกลับมา หรือนำเหรียญไปเปลี่ยนมือ ขายออกมา แล้วได้ทรัพย์สินมา

นายมงคล กล่าวว่า โดยมีรายละเอียดเรื่องภาษีอากร ดังนี้ กลุ่มคนทำเหมือง หรือขุดบิทคอยน์ ต้องมีการลงทุนค่อนข้างมาก ทั้งซื้อคอมพิวเตอร์ การ์ดจอ สร้างอาคาร ติดแอร์ เป็นต้น เปรียบเสมือนโรงงานผลิตสินค้า ซึ่งจนถึงวันหนึ่งที่ขุดเหรียญขึ้นมาได้ แปลว่าได้ทรัพย์สินมา แม้ว่าตามกฎหมายยังไม่ถูกนับว่าเป็นเงินได้ จะเกิดก็ต่อเมื่อนำคริปโทฯ ไปขาย ดังนั้น เงินได้จากการประกอบธุรกิจเป็นเงินได้ตาม มาตรา 40 (8) เวลาเสียภาษีก็มีหน้าที่นำรายได้ทั้งหมดตั้ง แล้วหักด้วยค่าใช้จ่าย ที่เกิดขึ้นจริง และ เมื่อเกิดกำไรก็นำไปเสียภาษี

นายมงคล กล่าวว่า กลุ่มคนเทรดเหรียญ ไม่ว่าจะได้เหรียญมาด้วยวิธีใดก็ตาม รวมถึงกรณีที่ได้เหรียญฟรีด้วย ก็ถือเป็นการได้รับทรัพย์สินเข้ามา แม้จะไม่เสียค่าตอบแทน แต่อาจตีราคาเป็นเงินได้ ก็ถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ หากได้มีการนำเหรียญนั้นไปฝากไว้ หรือให้ผู้อื่นใช้หาประโยชน์ โดยมีสัญญาที่จะได้รับผลตอบแทนเป็นเหรียญกลับมา ส่วนนี้ก็ถือเป็นรายได้ ซึ่งตามประมวลรัษฎากร ได้เพิ่มเติมเงินได้ มาตรา 40 (4), (ซ), (ฌ) โดย (4) ผู้ถือโทเคนดิจิทัลแล้วได้รับผลประโยชน์จากการถือครอง และ (ฌ) ผู้ที่ถือโทเคนดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซี่ มีการจำหน่ายจ่ายโอนออกไป เฉพาะส่วนที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ถือว่าเป็นเงินได้

นายมงคล กล่าวว่า ส่วนกรณีซื้อเหรียญมาเก็งกำไร เมื่อราคาขึ้นแล้วก็ขายออกไป ตามกฎหมายระบุว่า ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการขายคริปโทเคอร์เรนซี่ ให้ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (4) ตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 ไม่ใช่มาตรา 40 (8) เหมือนกับในอดีตแล้ว

Advertisement

นายมงคล กล่าวว่า ส่วนกรณีนำคริปโทเคอร์เรนซีไปซื้อสินค้า ตอนนำเหรียญไปจ่ายค่าซื้อสินค้า เจ้าของเหรียญมีภาระภาษีหรือไม่นั้น สิ่งที่จ่ายออกไปเป็นทรัพย์สิน เมื่อนำไปให้เจ้าของสินค้า เป็นการจำหน่ายจ่ายโอนคริปโทเคอร์เรนซี่ ส่วนจะเสียภาษีหรือไม่ ต้องคำนวณตามผลว่าได้เกินกว่าที่ลงทุนหรือไม่ เช่น นำเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี่ไปซื้อเรือเฟอร์รี่ โดยซื้อเหรียญมา 100 บาท แต่สามารถแลกซื้อเรือได้ 10 ล้านบาท ตอนโอนไปให้ ถือว่าเกิด Capital Gain ก็ต้องเอาส่วนนั้นมาเสียภาษี

“วิธีการคำนวณภาษีเงินได้ในส่วนของคริปโทฯ คำนวณเหมือนภาษีอื่น เช่น หากมีกำไรจากการขายคริปโทฯ ทั้งปี 200,000 บาท โดยไม่ได้มีรายได้อื่น ถ้ายื่นแบบเสียภาษี ไม่ได้มีภาษีต้องจ่ายเลย โดยหลักการเวลาคำนวณภาษีเอาเงินได้พึงประเมินตั้ง แล้วเอาผลตอบแทนจากการเทรดคริปโทฯ ที่เป็นกำไรจากการขาย หรือ 200,000 บาทตั้ง หักด้วยค่าใช้จ่าย ซึ่งค่าใช้จ่ายเป็น 0 และสามารถหักลดหย่อนส่วนตัวได้ถึง 60,000 บาท ก็เหลือ 140,000 บาท และหากเหลือเงินได้สุทธิต่ำกว่า 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นจากจ่ายภาษี ซึ่งก็เท่ากับว่าฐานที่จะไปคิดภาษีไม่มีแล้ว ก็เท่ากับว่าไม่ได้เสียภาษี” นายมงคลกล่าว

นายมงคล กล่าวว่าสำหรับในเรื่องการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย โดยระบุว่า นอกจากแบ่งประเภทเงินได้ จากเดิมเงินได้ตามมาตรา 40 (8) ก็เป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (4) และกำหนดให้คนที่จ่ายเงินค่าซื้อคริปโทเคอร์เรนซี่มีหน้าที่ต้องหักภาษี อัตรา 15% ซึ่งหลักการการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ได้แก่ 1. คนรับเงินจากผู้ขายก็มีหน้าที่เสียภาษี 2. ต้องมีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งเงินได้พึงประเมินจากการจำหน่ายจ่ายโอนคริปโทเคอร์เรนซี่ คือ เงินส่วนที่ตีราคาได้เกินกว่าทุน หรือ Capital Gain นั่นเอง

Advertisement

“ยกตัวอย่างเช่น เราจ่าย100 บาท ได้เหรียญคริปโทเคอร์เรนซี่ 1 เหรียญ หากไม่มี Capital Gain หน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายก็ไม่เกิด แต่หากจ่ายให้ 100 บาท มี Capital Gain 20 บาท เราก็มีหน้าที่ในการหักอัตราภาษี 15% จาก 20 บาท ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า คน ๆนี้มีต้นทุนเท่าไหร่ โดยคนรับเงินจะต้องเป็นผู้แจ้ง ว่าซื้อมาเท่าไหร่ เพราะหากไม่แจ้งต้นทุน คนจ่ายจะสันนิษฐานว่าไม่มีต้นทุน เขาอาจจะหัก 15% จากจำนวน 100 บาท” นายมงคล กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image