ธุรกิจเหรียญดิจิทัล ชี้เก็บภาษีคริปโท ไม่เหมาะสมส่งผลเสีย 3 เรื่อง ห่วงกระทบ 2 ล้านบัญชีตัวเล็ก

ธุรกิจเหรียญดิจิทัล ชี้เก็บภาษีคริปโท ไม่เหมาะสมส่งผลเสีย 3 เรื่อง ห่วงกระทบ 2 ล้านบัญชีตัวเล็ก

นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งเหรียญฟิโร่ (FIRO) และ สตางค์ (Satang) เปิดเผย”มติชน”ว่า ตลาดตอนนี้ค่อนข้าง sensitive(อ่อนไหว) จาก 1. การลดวงเงินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering )ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ได้และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงมีความเป็นไปได้สูงที่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่นหุ้นและคริปโท จะถูกเทขายในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และปริมาณเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง เม็ดเงินลงทุนก็อาจย้ายไปสู่สินทรัพย์ที่ดูมั่นคงกว่าเช่น พันธบัตร บางส่วนก็จะต้องการนำเงินสดออกมาใช้จ่ายมากขึ้น ขณะเดียวกันรอบที่ผ่านมาเราจะเห็นนักลงทุนสถาบันเข้ามาในตลาดเยอะมากเพื่อต้องการ hedge ความเสี่ยง แต่เมื่อมีการ tapering แล้วก็อาจมีการโยกเงินมาลงในพันธบัตรมากขึ้น สำหรับรายย่อยถ้าจะลงทุนในคริปโทช่วงนี้ ก็สามารถทำได้มองว่าเป็นตลาดของคนซื้อ แต่ต้องมีการบริหารการเงินที่ดี เงินที่นำมาลงในคริปโทต้องเป็นเงินเย็น สามารถที่จะรอได้เมื่อตลาดกลับมา

” สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเป็นช่วงที่ตลาดกำลังพักตัว และมองว่าเป็นการปรับฐานครั้งใหญ่ แต่จะไม่รุนแรงเหมือนรอบที่ผ่านมาที่ตกไปถึง 90% เพราะว่า คริปโทหลายๆโปรเจกต์ เริ่มมีการใช้งานจริงในระบบเศรษฐกิจโลก ทำให้พ้นจากภาวะสินทรัพย์เก็งกำไรเหมือนในอดีต” นายปรมินทร์ กล่าว

นายปรมินทร์ กล่าวต่อว่า ในส่วนอัตราภาษี ส่วนตัวมองว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องหาอัตราที่เหมาะสม คือเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา เช่นในภาวะวิกฤติเช่นปัจจุบันนี้ ที่เศรษฐกิจก็แย่อยู่แล้ว แต่ทางออก คือ เก็บภาษีกับประชาชนเพิ่มขึ้นทั้งที่คริปโตอาจเป็นทางรอดไม่กี่ทางของคนตัวเล็กในสังคม ตนไม่ได้ค้านการเก็บภาษี แต่ควรต้องมีความเป็นธรรมด้วย คือไม่ใช่ได้กำไรก็จะเก็บแต่เมื่อขาดทุนก็เป็นเรื่องของนักลงทุน ตอนนี้ ที่ เกาหลีใต้ มีการจะเก็บภาษีคริปโท 20% ถ้า มีกำไร มากกว่า 2200 เหรียญสหรัฐ

แต่ สุดท้าย ยังไม่บังคับใช้ จนปี2566 ถึงจะเริ่มใช้ ซึ่งการเก็บภาษีที่ไม่เหมาะสม ส่งผลเสีย 3 เรื่อง ได้แก่ 1. รัฐเก็บภาษีได้ยากขึ้น 2. ตลาด exchangeที่ได้รับอนุญาตจากทางการถูกลดความสามารถในการแข่งขัน เพราะนักลงทุนมองว่า ต้นทุนสธงไปไม่เหมาะสม 3. การเกิดcrypto development hub (ศูนย์กลางการพัฒนาการเข้ารหัสลับ) เพื่อให้มีการพัฒนา หรือจ้างงานใน ทางcrypto(การเข้ารหัสลับ)นี้ จะไม่เกิดแน่นอน พูดให้ง่าย คือ การเก็บภาษี ที่นักลงทุน มองว่าไม่เหมาะ จะกลายเป็นการทำหมัน การพัฒนา crypto thai (การเข้ารหัสไทย) ในทุกทาง ทั้งผู้เล่น ทั้งรัฐและเอกชน รายใหญ่ และรายย่อย

Advertisement

” ผมมองว่ากระทรวงการคลัง ควรต้องพิจารณาอัตราการเก็บและกฎเกณฑ์ภาษีใหม่ ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่คนตัวเล็ก ทุกวันนี้มีภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องกับคริปโท เกือบ 2 ล้านบัญชี คนเหล่านี้เป็นหนึ่งในพลังที่ช่วยขับเคลื่อนสังคม เราไม่ควรไปทำให้เขาล้ม และไม่ควรผลักดันพวกเขาออกไปเล่นในตลาดที่รัฐบาลปกป้องเขาไม่ได้ การที่เราทำ exchange ในไทย

อยู่ภายใต้การกำกับของกฎหมายไทย ก็เพราะเราต้องการให้คนไทยได้เทรดกันอย่างปลอดภัย มีมาตรการดูแลคุ้มครองการลงทุน ปีที่ผ่านมาเป็นปี ที่เราปรับปรุงระบบโครงสร้างให้แข็งแรง รองรับการเติบโตของตลาด ในปี 2565 นี้ จะเป็นปีที่เรามุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนนอกเหนือจาก exchange ” นายปรมินทร์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image