7 วันข้างหน้า คาดเงินบาทเคลื่อนไหว 33.00-33.50 ‘กรุงศรี’ แนะจับตาข้อมูล ศก.จีน-นโยบายสหรัฐ

แฟ้มภาพ

7 วันข้างหน้า คาดเงินบาทเคลื่อนไหว 33.00-33.50 ‘กรุงศรี’ แนะจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีน และนโยบายสหรัฐ

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-33.50 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 33.21 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 33.14-33.74 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนีดอลลาร์แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่ถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และข้อมูลเงินเฟ้อสอดคล้องกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของตลาดที่ว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้ ค่าเงินดอลลาร์จึงขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ

ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธันวาคมของสหรัฐพุ่งขึ้น 7.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 40 ปี ทางด้านดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธันวาคมของสหรัฐเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ส่งผลให้นักลงทุนคาดว่าปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานอาจเริ่มคลายตัวลงและอัตราเงินเฟ้ออาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่ท้ายสัปดาห์สหรัฐรายงานยอดค้าปลีกเดือนธันวาคมลดลงเกินคาด แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 5,278 ล้านบาท และ 27,041 ล้านบาท ตามลำดับ

“ตลาดจะให้ความสนใจกับข้อมูลเศรษฐกิจจีนซึ่งรวมถึงจีดีพีไตรมาส 4/64 การผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกเดือนธันวาคม เพื่อประเมินสัญญาณการชะลอตัวและโมเมนตัมต่อเนื่องในช่วงต้นปีนี้ นอกจากนี้ คาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับติดลบ 0.1% ตามเดิมหลังการประชุมวันที่ 18 มกราคม อย่างไรก็ตาม บีโอเจอาจปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อตามราคาพลังงานในตลาดโลกที่สูงขึ้น กรุงศรีคาดว่าแรงขายดอลลาร์ในช่วงนี้ สะท้อนการปรับสถานะการลงทุนและปัจจัยทางด้านเทคนิคเป็นสำคัญ อีกทั้งตลาดไม่แน่ใจว่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าเฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยไปสู่จุดสูงสุดของวัฏจักรนี้ที่ 2.5% ตามที่เฟดเคยประมาณการไว้ได้หรือไม่” นางสาวรุ่งกล่าว

นางสาวรุ่งกล่าวต่อว่า สำหรับปัจจัยในประเทศ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ยังเปราะบาง โดยคาดว่าการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนจะกระทบจีดีพีราว 0.3% ขณะที่เศรษฐกิจจะกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดในไตรมาส 1/66 ขณะที่ ธปท.ไม่กังวลกับเงินเฟ้อในประเทศ ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยและการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟด รวมถึงธนาคารกลางชั้นนำของโลกจะมีผลต่อตลาดการเงิน แต่ผลต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมจะค่อนข้างจำกัด

Advertisement

“ท่าทีดังกล่าวสนับสนุนมุมมองของกรุงศรีที่ว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะถูกตรึงไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ตลอดปีนี้” นางสาวรุ่งระบุ

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image