ผู้เขียน | ปิยะวรรณ ผลเจริญ |
---|
ได้ข้อสรุปสักทีสำหรับ แพคเกจกระตุ้นยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ครั้งสำคัญของไทย ระยะเวลาโครงการนาน 4 ปี (2565-2568) สำหรับรถไฟฟ้า 100% หรือบีอีวี ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 10% ในปี 2568 และ 30% ปี 2573
แพคเกจนี้เดินหน้าหลักๆ 2 ขา คือ ขาแรก ให้ส่วนลดแก่ประชาชน เพื่อจูงใจให้ซื้อรถไฟฟ้า 100% หรือบีอีวี ส่วนลดสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เริ่มตั้งแต่ 1.8 หมื่นบาทขึ้นไปและส่วนลดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทั้งรถยนต์นั่งและกระบะ ตั้งแต่ 7 หมื่นบาทขึ้นไป แต่ทุกชนิดส่วนลดจะไม่เกิน 1.5 แสนบาท รูปแบบจะให้กับค่ายรถยนต์โดยตรง รวมวงเงินงบประมาณที่ใช้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ขาสอง คือ การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ คาดว่าจะเหลือไม่เกิน 2% ลดการนำเข้า 40%
โดยเปิดให้ค่ายรถยนต์ยื่นร่วมโครงการ แบ่งเป็นให้นำเข้า 2 ปีแรก และ 2 ปีหลังให้ลงทุนทดแทนโดยเฉพาะการทดแทนส่วนเข้าช่วง 2 ปีแรก
ตัวแพคเกจอีวี ช่วงปลายปีที่ปล่อยออกมาเขย่าอารมณ์ผู้ซื้อและตลาดรถยนต์อย่างมากมีทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงค้านจากฝ่ายได้ประโยชน์และเสียประโยชน์
ที่น่าสนใจคือ ปมปัญหาแหล่งที่มาของงบประมาณ 4 หมื่นล้านบาท กลับไม่มีคำตอบสุดท้ายมีเพียงแนวคิดใช้เงินจากกองทุนของหน่วยงานต่างๆ เงินที่มีชัวร์คือ 3 พันล้านบาท จากงบกลางปี 2565 ที่ได้ไฟเขียวจากนายกรัฐมนตรีแล้ว รวมทั้งประเด็นการนำเงินสนับสนุนตรงแก่เอกชนว่ากฎหมายให้ทำได้หรือไม่
นอกจากนี้ แนวคิดของแพคเกจอีวีส่วนใหญ่มาจากบริษัทที่ปรึกษาที่ร่วมทำงานในบอร์ด บางเรื่องเป็นของร้อนไม่มีความชัดเจนทางกฎหมาย หน่วยงานราชการจึงร้อนๆ หนาวๆ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา คณะกรรมการยานยนต์แห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เคลียร์ประเด็นจนได้ข้อสรุปสุดท้ายให้กรมสรรพสามิตรับผิดชอบเรื่องแหล่งเงินทั้งหมด
ขณะนี้วาระบอร์ดอีวีอยู่ระหว่างทำหนังสือเวียน คาดว่าจะเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
ประเมินว่าแพคเกจอีวีคือไม้เด็ดรัฐบาลใช้เรียกคะแนนนิยมก่อนเลือกตั้งใหม่ ส่วนการหางบประมาณปีที่เหลือเดี๋ยวค่อยว่ากัน!!