คลัง คาดเศรษฐกิจไทยปี’65 โต 4% เชื่อโควิดคลายปลายปี นทท.เข้าประเทศ 7 ล้านคน

แฟ้มภาพ

คลัง คาดเศรษฐกิจไทยปี’65 โต 4% เชื่อโควิดคลายช่วงปลายปี นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ 7 ล้านคน ส่วนปี’64 ปรับเป็น 1.2% สูงกว่าเดิมที่ประเมินไว้

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2565 กระทรวงการคลังคาดว่าจะขยายอยู่ที่ 4.0% ต่อปี (มีช่วงคาดการณ์ที่ 3.5-4.5%) โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่ขยายตัวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เริ่มมีผลกระทบในวงจำกัด ทำให้คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 4.5% ต่อปี และภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัวหลังจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศผ่านระบบเทสต์ แอนด์ โก อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 7 ล้านคน ในขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.6% ต่อปี ตามอุปสงค์โลกที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

นายพรชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายของภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ภาครัฐจะมีการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท และงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2565 วงเงิน 3.07 แสนล้านบาท รวมทั้งพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ในส่วนที่เหลือ 1.56 แสนล้านบาท ที่คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายได้อย่างต่อเนื่อง

“คาดว่าเม็ดเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้าน ที่เหลือประมาณ 1 แสนล้านบาทนั้นเพียงพอต่อการดูแลเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในปีนี้ เนื่องจากโอมิครอนจะระบาดสูงสุดในเดือนมีนาคม จากนั้นจะค่อยลดลง และอาจจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นตามที่กระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม หากงบประมาณในการดูแลไม่เพียงพอ รัฐบาลก็จะมีงบกลางที่เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม” นายพรชัยกล่าว

นายพรชัยกล่าวต่อว่า คาดว่าการบริโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวที่ 1.2% ต่อปี และ 3.7% ต่อปี ตามลำดับ ทั้งนี้ แรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ จะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ รวมทั้งการลงทุนในประเทศปรับตัวสูงขึ้น โดยการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 5.0% ต่อปี ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.9% ซึ่งยังอยู่ภายในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่กำหนดในระดับ 1.0-3.0% ต่อปี

Advertisement

นายพรชัยกล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1.ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต 2.ความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก อาทิ การส่งสัญญาณปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายประเทศ จากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ 3.ตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวไม่เต็มที่ จึงเป็นข้อจำกัดสำหรับการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และความสามารถในการชำระหนี้สินของภาคครัวเรือนที่ยังคงมีความเปราะบาง 4.ปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทานการผลิต เช่น การขาดแคลนอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ที่อาจยืดเยื้อ และ 5.ราคาพลังงานและน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง

“กระทรวงการคลังจะได้มีการติดตามและประเมินผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด และพร้อมจะดำเนินมาตรการทางการคลังและการเงินที่เหมาะสมเพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ” นายพรชัยระบุ

Advertisement

นายพรชัยกล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2% ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 0.9-1.4%) ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนตุลาคม 2564 ที่ 1.0% ต่อปี เนื่องจากในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจไทย ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศที่ปรับดีขึ้นและการเร่งกระจายวัคซีนที่มีความครอบคลุมมากขึ้น โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 0.2% ต่อปี และการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 3.7% ต่อปี ในขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 19.0% ต่อปี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ทยอยคลี่คลายลง ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศ มี 4.2 แสนราย สูงกว่าที่ สศค.คาดการณ์ไว้

นายพรชัยกล่าวด้วยว่า สำหรับปัญหาราคาสินค้าแพงนั้น สศค.เชื่อว่าราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นแบบชั่วคราวเท่านั้น โดยรัฐบาลได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลแล้ว เพราะฉะนั้นเชื่อว่ายังรักษาระดับการบริโภคของประชาชนไว้ได้ และการใช้จ่ายในประเทศยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ส่วนระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงนั้น ณ ไตรมาส 3 ปี 2564 อยู่ที่ 89.3% หรือจำนวน 14.35 ล้านล้านบาท ยังคงที่จากไตรมาสที่ 2 ซึ่งมองว่าจะไม่เป็นแรงกดดันต่อกำลังซื้อในประเทศ เนื่องจากในจำนวนหนี้ครัวเรือนนั้นเป็นหนี้สำหรับการอุปโภคบริโภคเพียง 27% เท่านั้น ที่เหลือเป็นหนี้เพื่อการประกอบอาชีพ 20% หนี้อสังหาริมทรัพย์ และ หนี้เช่าซื้อรถยนต์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image