สรท.เผยส่งออกไทยปี 64 โต 17.1% พร้อมขอรัฐบาลตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท

สรท.เผยส่งออกไทยปี 64 โต 17.1% พร้อมขอรัฐบาลตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาท

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) แถลงข่าวร่วมกับ นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธาน สรท. และนายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร ระบุว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนธันวาคม 2564 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 24,930.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 24.2% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 810,711.8 ล้านบาท ขยายตัว 34.5% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนธันวาคมขยายตัว 23.0%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 25,284.5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 33.4% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 833,237.4 ล้านบาท ขยายตัว 44.4% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2564 ขาดดุลเท่ากับ 354.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 22,525.6 ล้านบาท

นายชัยชาญ กล่าวว่า ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนมกราคม – ธันวาคมของปี 2564 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 271,173.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 17.1% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 8,542,102.7 ล้านบาท ขยายตัว 18.9% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในช่วง 11 เดือนนี้ขยายตัว 19.8%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 267,600.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 29.8% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 8,549,082.3 ล้านบาท ขยายตัว 32% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม-ธันวาคมของปี 2564 เกินดุล 3,573.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ขาดดุลในรูปเงินบาทเท่ากับ 6,979.6 ล้านบาท

สรท. คาดการณ์ส่งออกไทยในไตรมาสแรกปี 2565 โตต่อเนื่อง 5% และคงคาดการณ์ส่งออกไทยทั้งปี 2565 เติบโตระหว่าง 5-8% (ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2565) โดยมีปัจจัยปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ได้แก่
1) ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูง ส่วนหนึ่งจากผลกระทบจากข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้ราคาแก๊สธรรมชาติและถ่านหินน้ามัน ในยุโรปและของโลกเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่สหภาพยุโรปอาจขาดแคลนพลังงานเนื่องจากยุโรปนำเข้าแก๊สจากรัสเซีย 25-50% กรณีดังกล่าวส่งผลให้หมวดหมู่สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีมูลค่าสูงขึ้น ในทางกลับกันส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเกือบทุกประเภทรวมถึงต้นทุนการขนส่งที่ต้องปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกราคาพลังงานในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัวทั่วโลก
2) แรงงานในภาคการผลิตขาดแคลนต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนการจ้างงานปรับตัวสูงขึ้น กระทบการผลิตเพื่อการส่งออกที่กำลังฟื้นตัว

Advertisement

3) ปัญหาความหนาแน่นภายในท่าเรือประเทศปลายทาง ทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานในการขนถ่ายสินค้า รวมถึงปัญหา Space allocation ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถจองระวาง ตลอดจนค่าระวางเรือยังคงทรงตัวในระดับสูง
4) ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์, เหล็ก, น้ำมัน ส่งผลให้ภาคการผลิตเพื่อส่งออก ยังคงประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
5) สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 สายพันธุ์โอมิครอน หลายประเทศมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามและเข็มที่สี่ต่อเนื่อง และเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการสำหรับการเดินทางเข้าประเทศ อาทิ นิวซีแลนด์ (เฉพาะผู้ที่เดินทางในประเทศและมาจากออสเตรเลีย) ขณะที่ นอร์เวย์ เดนมาร์กยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ดียังคงต้องติดตามและประเมินสถานการณ์ไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ

ข้อเสนอแนะของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
1. ด้านการตลาด (Marketing) โดยขอให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเร่งกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อยกระดับ/กระตุ้นให้เกิด Trade activity ในลักษณะ Exhibition / Business matching ระหว่างกันให้มากขึ้น อาทิ จัดกิจกรรมเยือนซาอุดิอาระเบีย และประเทศเป้าหมายสำคัญ พร้อมทั้งเร่งผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง RCEP พร้อมกับเพิ่มกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในประเทศคู่เจรจาให้มากขึ้น

2.ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation) โดยเร่งยกระดับการใช้ระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าเต็มรูปแบบ เช่น National Single Window ให้เป็น Single Submission และเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวก และช่วยลดต้นทุน อาทิ ด้านโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น

Advertisement

3. ด้านการควบคุมต้นทุนการผลิต (Production cost) โดยขอให้ภาครัฐตรึงราคาพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร เนื่องจากต้นทุนพลังงานคิดเป็นต้นทุนที่สำคัญในการผลิต ราว 2-10% หากราคาพลังงานมีการปรับตัวสูงเกินไปจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตของแต่ละอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นโดยตรง รวมไปถึงขอให้ภาครัฐช่วยควบคุมต้นทุนภาคการผลิตตลอดโซ่อุปทาน อื่น อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ วัตถุดิบขั้นกลางสำหรับการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค

อีกทั้ง ขอให้ภาครัฐพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยอ้างอิงจากปัจจัยการปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก และขอให้พิจารณาปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการมีต้นทุนแรงงานที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะ ค่าใช้จ่ายการนำเข้าแรงงานต่างด้าวเฉลี่ยต่อคนประมาณ 12,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จ่ายค่าจ้างเกินกว่าค่าแรงขั้นต่ำกำหนดไว้ ดังนั้นหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากเกินไปอาจกระทบกับธุรกิจในระดับ SME ที่กำลังฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด-19 และยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้ในช่วงเวลานี้ นอกจากนี้ภาครัฐควรต้องส่งเสริม ยกระดับ upskill–reskill ให้กับแรงงานในแต่ละอุตสาหกรรมโดยเร็ว

รวมไปถึงผู้ประกอบการมีต้นทุนการฝึกอบรมและยกระดับประสิทธิภาพของแรงงานในสถานประกอบการและแรงงานใหม่ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานจริง และเมื่อแรงงานมีความพร้อม จะมีการปรับขึ้นค่าแรงให้ตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการมีการจ่ายผลตอบแทนให้กับแรงงานในรูปแบบของโบนัสและสวัสดิการอื่นเมื่อกิจการสามารถทำกำไรได้ ซึ่งสะท้อนความผลิตภาพของแรงงานและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางธุรกิจของผู้ประกอบการ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image