ครม.ไฟเขียวลดภาษีดีเซล 3 บ./ลิตร เคาะแพคเกจอีวี ส่วนลดเริ่ม 1.8 หมื่น-1.5 แสน

ครม.ไฟเขียวลดภาษีดีเซล 3 บ./ลิตร เคาะแพคเกจอีวี ส่วนลดเริ่ม 1.8 หมื่น-1.5 แสน

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในอัตรา 3 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 3 เดือน จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 5.99 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้กรมสรรพสามิตสูญเสียรายได้รวม 1.7 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณเดือนละ 5,700 ล้านบาท หลังจากนี้กรมสรรพสามิตจะไปดำเนินการเพื่อออกเป็นพระราชกฤษฎีกาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป การลดภาษีน้ำมันดีเซล 3 บาทต่อลิตร จะลดตามสัดส่วนความเข้มข้นของเนื้อน้ำมัน โดยได้กำหนดการลดภาษีถึงเดือน พฤษภาคม 2565 ตามการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะทยอยปรับลดลงในช่วงนั้น ซึ่งก็เป็นไปตามปัจจัยน้ำมันโลก และความเสี่ยงการพิพาทรัสเซียและยูเครนด้วย นายอาคมกล่าว

นายอาคมกล่าวว่า สาเหตุที่กระทรวงการคลังต้องลดภาษีน้ำมันดีเซลเพื่อพยุงราคาน้ำมัน เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง แม้ที่ผ่านมา ครม.จะอนุมัติให้สามารถกู้เงินได้ 3 หมื่นล้านบาท แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถกู้ได้ จากปัญหางบการเงิน

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งเพิ่มเติมว่า หลังครม.เห็นชอบการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลิตรละ 3 บาท 3 เดือนแล้ว ขั้นต่อไปกระทรวงการคลัง จะออกเป็นกฎกระทรวงเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าจะประกาศได้วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 และมีผลบังคับให้ลดภาษีได้ตั้งแต่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังครม.มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(บีอีวี)ประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ทั้งการใช้มาตรการทางภาษีและไม่ใช่ภาษี (มาตรการระยะสั้นปี 2565-2568) กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังได้ออกเอกสารชี้แจงรายละเอียดมาตรการสนับสนุน ดังนี้ มาตรการดังกล่าวเป็น 4 กรณี ดังนี้

Advertisement

1. กรณีรถยนต์นั่ง หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้ลดอากรขาเข้าสูงสุด 40%(เฉพาะปี 2565-66) ลดสรรพสามิต จาก 8% เหลือ 2% ได้เงินอุดหนุน 7 หมื่นบาท สำหรับแบตเตอรี่ 10-30 กิโลวัตต์ชั่วโมง และเงินอุดหนุน 1.5 แสนบาท สำหรับแบตเตอรี่มากกว่า 30 กิโลวัตต์
ชั่วโมง

2.รถยนต์นั่งฯ ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมงขึ้นไป และมีราคาขายปลีก แนะนำมากกว่า 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท จะได้ลดอากรขาเข้าสูงสุด 20% (เฉพาะปี 2565-66) ลดสรรพสามิต จาก 8% เหลือ 2% ไม่ได้รับเงินอุดหนุน

3.รถกระบะที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมงขึ้นไป และมีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท จะภาษีสรรพสามิต เป็น 0% เงินอุดหนุน 1.5 แสนบาท เฉพาะรถกระบะที่ผลิตในประเทศเท่านั้น

Advertisement

และ 4.รถจักรยานยนต์ ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 1.5 แสนบาท ภาษีสรรพสามิต 1% เงินอุดหนุน 1.8 หมื่นบาท กรณีซีบียู (นำเข้าทั้งคัน) เฉพาะปี 2565-66 และกรณีซีเคดี (ผลิตในประเทศ) เฉพาะปี 2565-68

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image