หอการค้าต่างประเทศถกนายกฯ แนะ รบ.ไทยดันนโยบายสร้างความยั่งยืน-นโยบายสีเขียว

‘บิ๊กตู่’ หารือหอการค้าร่วม ตปท. ยืนยันพร้อมร่วมมือทุกมิติ มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้าน ประธาน JFCCTชื่นชมพร้อมขอบคุณการทำงานนายกฯ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสแตนลีย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand : JFCCT) และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกฯกล่าวต้อนรับ พร้อมแสดงความยินดีที่ได้พบคณะจาก JFCCT อีกครั้ง ทราบว่าที่ผ่านมาผู้บริหารและสมาชิกได้เข้าพบหารือกับผู้บริหารและหน่วยงานภาครัฐมาโดยตลอด เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และแก้ไขปัญหาที่ยังเป็นอุปสรรคระหว่างกัน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมของทุกภาคส่วนทั่วโลกเป็นอย่างมาก รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และพยายามออกมาตรการที่สามารถสร้างความสมดุลระหว่างความปลอดภัยทางสาธารณสุขและการขับเคลื่อนทางธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้ โดยรัฐบาลเห็นว่าภาคเอกชนจะยังคงมีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยในช่วงหลังการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะในโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค โดยมีแนวคิดเศรษฐกิจ BCG Model เป็นแนวคิดพื้นฐาน

ด้านนายสแตนลีย์กล่าวว่า ตนและคณะยินดีที่ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกฯในวันนี้ ขอบคุณรัฐบาลสำหรับการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนทางการค้าในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งได้ทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานไทย โดยเฉพาะสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ JFCCT ย้ำถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินนโยบายของนายกฯ อาทิ นโยบายการเปิดประเทศของไทย นโยบาย Thailand 4.0 แผนการพัฒนาดิจิทัล และระบบ Test & Go ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุนและในภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่รัฐบาลไทยเน้นย้ำ ซึ่งทาง JFCCT ยินดีที่จะร่วมลงทุนกับประเทศไทย เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันที่คำนึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวคิดพลังงานสีเขียวอีกด้วย และยังพร้อมให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาทักษะของทรัพยากรบุคคล (Upskill-Reskill) ผ่านการอบรมและใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมต่างๆ ซึ่งจะถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันต่อไป

Advertisement

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในหลายประเด็น ได้แก่ นโยบายประเทศไทย 4.0 การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล และการสร้างความทันสมัยทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล โดยประเทศไทยมีเป้าหมายในการสร้างความทันสมัยทางเศรษฐกิจและได้กำหนดให้ “ประเทศไทย 4.0” เป็นแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการขับเคลื่อนประเทศไปในหลายด้าน

ด้านประธาน JFCCT ยินดีที่ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการยกระดับธุรกิจทุกขนาด โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs รวมถึงส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดย JFCCT มีเครือข่ายและผู้เชี่ยวชาญที่มีศักยภาพจำนวนมาก จึงพร้อมมีส่วนร่วมในการผลักดันการสนับสนุนการประยุกต์ใช้ดิจิทัลในประเทศไทยผ่านการร่วมลงทุนและการแลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญ และประสบการณ์ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนไทย

ในส่วนของนโยบายสีเขียว BCG Model และการเป็นเจ้าภาพเอเปคของประเทศไทยในปีพ.ศ.2565 ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนถือเป็นประเด็นที่ควรส่งเสริมและให้ความสำคัญ ซึ่งนายกฯ ย้ำว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยปัจจุบันมีโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นแนวทางการพัฒนาที่สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติอย่างน้อย 5 เป้าหมาย นอกจากนี้รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนบนพื้นฐานของ ESG จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันเพื่อบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนได้

Advertisement

ในช่วงท้ายนายกฯได้กล่าวขอบคุณ JFCCT ที่เข้าใจและมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือให้คำแนะนำส่งเสริมการค้าการลงทุนของต่างชาติในไทย และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยด้วยดีมาโดยตลอด ซึ่ง JFFCT เล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ยังมีศักยภาพอีกมากและพร้อมจับมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image