‘ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่’ รุกธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ปักธงคว้าตำแหน่งสู่ผู้นำอุตสาหกรรม

ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่’ รุกธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ปักธงคว้าตำแหน่งสู่ผู้นำอุตสาหกรรม

นายพงศ์นรินทร์ วนสุวรรณกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการ บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE ผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า บริษัทมีจุดแข็งจากการเป็นหนึ่งในกลุ่มท่าฉางอุตสหกรรม ผู้ประกอบธุรกิจโรงสกัดนํ้ามันปาล์มรายใหญ่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีผลพลอยได้จากการผลิต (by product) เป็นวัตถุดิบชีวมวลจากปาล์มจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จึงเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยได้เริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปี 2562 ได้ขยายการเติบโตไปยังธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ซึ่งเป็นธุรกิจสามารถต่อยอดจากธุรกิจเดิมของบริษัทฯ และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐจากนโยบายสนับสนุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานตามการเติบโตทางเศรษฐกิจตามแนวทาง Green Energy หรือพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

“ธุรกิจของบริษัทฯ ถือว่าอยู่ในเมกะเทรนด์ของโลก และสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานทดแทน โดยจากแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดภายใต้แผนพัฒนาการกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย 2018 ปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Revision 1) ฉบับล่าสุด กำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เป็นจำนวน 10,193 เมกะวัตต์ โดยเน้นการจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในประเทศไทยจะเพิ่มเป็น 34.23% ภายในปี 2573 เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นโดยกระทรวงพลังงานคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจะสูงสุด (พีก) ในปี 2580 ที่ 53,997 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 367,458 ล้านหน่วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลบวกต่อธุรกิจผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงพลังงานทางเลือก อาทิ ขยะชุมชน ก๊าซชีวภาพ และชื้อเพลิงชีวมวล ที่เข้ามาทดแทนแหล่งพลังงานดั้งเดิมอย่างถ่านหิน หรือก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มลดลงในอนาคต” นายพงศ์นรินทร์ กล่าว

นายพงศ์นรินทร์ กล่าวว่า บริษัทฯ ในฐานผู้นำด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 2 ประเภท ได้แก่ 1.โรงฟ้าชีวมวล จากวัตถุดิบหลักประเภททะลายปาล์มเปล่า เส้นใยปาล์ม และจากการเกษตรกรรม อาทิ ไม้ชิพ รากไม้สับ และ 2.โรงไฟฟ้าขยะชุมชน ทำให้บริษัทฯ จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของความต้องการใช้พลังงานในประเทศ และนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทนจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรร โดยบริษัท มีเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำโดยใช้จุดแข็งและความเชี่ยวชาในการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย 1.ความมีประสิทธิผลในด้านต้นทุน (Effectiveness) 2.ความมีประสิทธิภาพด้านการผลิตและบริหารจัดการ (Efficiency) และ 3.ความมีประสบการณ์ด้านบุคลากรและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ (Experience) อย่างมีธรรมาภิบาลบริษัทมีบุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูงทั้งในการผลิตและการพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

นายศักดิ์ดา ศิริภัทรโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่เปิดดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (ซีโอดี) แล้ว 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TGE, TPG และ TBP ในอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี กำลังการผลิตติดตั้งรวม 29.7 MW และปริมาณไฟฟ้าเสนอขายกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญาระยะยาวรวม 20.3 MW รับรู้รายได้รูปแบบ Feed-in Tariff (Fit) และจะได้รับ FiT Premium เป็นระยะเวลา 8 ปีแรกนับจากวัน COD ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นโรงไฟฟ้าประเภท VSPP ที่ใช้เทคโนโลยีกระบวนการผลิตแบบเผาไหม้โดยตรง (Direct Combustion) ด้วยการนำวัตถุดิบชีวมวลที่เป็นวัสดุเหลือใช้จากผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ ทะลายปาล์ม เส้นใยปาล์ม รากไม้สับ ต้นปาล์มสับ เป็นต้นมาเป็นเชื้อเพลิงป้อนเข้าสู่เตาเผา

Advertisement

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าขยะชุมชนอีก 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TES SKW จังหวัดสระแก้ว, โรงไฟฟ้า TES RBR จังหวัดราชบุรี และโรงไฟฟ้า TES CPN จังหวัดชุมพร ซึ่งได้รับเลือกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว และอยู่ระหว่างพัฒนา โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 22 MW และปริมาณไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญารวมประมาณ 16 MW คาดว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะออกระเบียบรับซื้อไฟฟ้าและทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในไตรมาส 1/2565 และเริ่ม COD ได้ภายในปี 2567 จะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมเพิ่มเป็น 51.7 MW และมีปริมาณไฟฟ้าเสนอขายกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวม 36.3 MW

ขณะที่แผนการขยายธุรกิจเพื่อเติบโตในระยะยาว บริษัทเตรียมเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนกับ อปท. อีก 4 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TES PRI จ.ปราจีนบุรี, โรงไฟฟ้า TES CNT จ.ชัยนาท, โรงไฟฟ้า TES UBN จ.อุบลราชธานี และโรงไฟฟ้า TES TCN จ.สมุทรสาคร คาดว่าหากได้รับคัดเลือกจาก อปท. ที่เกี่ยวข้องให้เป็นผู้ร่วมลงทุนในโครงการในปี 2565 จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2569 และคาดว่ากำลังผลิตติดตั้งรวมของบริษัทฯ ในอีก 4 ปีข้างหน้า ภายหลังทั้ง 4 โครงการเริ่มดำเนินการแล้ว จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเป็น 90 MW

นอกเหนือจากโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะชุมชน เรามีนโยบายที่จะขยายการลงทุนไปยังโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทอื่นที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ และก๊าซชีวภาพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังผลิตติดตั้งเป็นมากกว่า 200 MW ภายในปี 2575 รวมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาขยายธุรกิจเพิ่มเติมไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตไฟฟ้า เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืน ด้วยการใช้จุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” นายศักดิ์ดา กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image