“อสังหาอีอีซี” ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว มั่นใจปีนี้ฟื้นตัว คาดเปิดใหม่เพิ่มกว่า 51% หลังซมพิษโควิดมา 2 ปี

“อสังหาอีอีซี” ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว มั่นใจปีนี้ฟื้นตัว คาดเปิดใหม่เพิ่มกว่า 51% หลังซมพิษโควิดมา 2 ปี

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัดในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ณ สิ้นปี 2564 มีที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขาย 1,087 โครงการ จำนวน 71,831 หน่วย มูลค่า 238,253 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปี 2563 จำนวนหน่วยลดลง 5.2% มูลค่าลดลง 6.9%

แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 48,898 หน่วย มูลค่า 138,271 ล้านบาท และอาคารชุด 22,933 หน่วย มูลค่า 99,981 ล้านบาท มีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 7,588 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 5,124 หน่วย มูลค่า 16,051 ล้านบาท อาคารชุด 2,464 หน่วย มูลค่า 6,472 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC ทั้งสิ้น 60,480 หน่วย เทียบกับปีก่อนหน้าจำนวนหน่วยลดลง 6.8% และมูลค่าหน่วยเหลือขายรวม 203,892 ล้านบาท ลดลง 8.3 %

ด้านการเคลื่อนไหวด้านการขาย มีหน่วยที่ขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งหลังปี 2564 จำนวน 11,351 หน่วย เพิ่มขึ้น 4% มูลค่าขายได้ใหม่ 34,361 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โครงการบ้านจัดสรรมีหน่วยขายใหม่ 8,348 หน่วย เพิ่มขึ้น4.4% มูลค่า 23,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% ในขณะที่อาคารชุดขายได้ใหม่ 3,003 หน่วย เพิ่มขึ้น2.7% มูลค่า 11,216 ล้านบาท ลดลง5.2% ส่งผลให้ภาพรวมมีอัตราดูดซับดีขึ้นเล็กน้อย โดยปรับขึ้นจาก 2.4% ในช่วงปลายปี 2563 เป็น 2.6% ในช่วงปลายปี 2564

“ช่วง 2 ปีมีโควิดระบาด การลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใน EEC เปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งอุปสงค์ และอุปทาน เมื่อเข้าช่วงครึ่งหลังปี 2564 ก็เริ่มกลับเข้าสู่ช่วงฟื้นตัว เมื่อผู้ประกอบการลดการเติมอุปทานใหม่เข้ามาในตลาด ส่งผลให้อัตราดูดซับเริ่มดีขึ้น โครงการเหลือขายลดลง โดยเฉพาะชลบุรีเหลือขายลดลง13.2% มูลค่าหน่วยเหลือขายลดลง 14.2% ขณะที่ฉะเชิงเทรามีอัตราการเพิ่มขึ้นของหน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดถึง39.4% มูลค่าขายได้ใหม่เพิ่มขึ้น 43% จากการขายบ้านจัดสรรเป็นหลัก”

Advertisement

นายวิชัยกล่าวอีกว่า สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยชลบุรีมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเพราะหน่วยที่อยู่อาศัยรอการขาย ณ ปี 2564 มีทั้งสิ้น 43,393 หน่วย ลดลง12% คิดเป็นมูลค่า 161,747 ล้านบาท ลดลง13.4% ขณะที่ที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดลดลงอย่างมากมี 3,271 หน่วย ลดลง48.8% มูลค่า 8,970 ล้านบาท ลดลง 63.1% มีหน่วยขายได้ใหม่เพียง 6,531 หน่วย มูลค่าการขายได้ใหม่ลดดลง 7.9% มูลค่า 21,410 ล้านบาท ทำให้อัตราดูดซับขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2.5%

สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2565 คาดว่าจะเป็นช่วงการฟื้นตัวทั้งอุปสงค์และอุปทาน โดยอุปสงค์คาดว่าภาพรวมหน่วยขายได้ใหม่ใน EEC จะปรับเพิ่มขึ้น7.3% เพิ่มจาก 20,192 หน่วย เป็น 21,675 หน่วย ส่วนมูลค่าการขายเพิ่มขึ้น 8.6% เพิ่มจาก 60,562 ล้านบาท เป็น 65,774 ล้านบาท

ด้านอุปทานคาดว่าจะมีเปิดตัวโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น51.9% จาก 13,340 หน่วย เป็น 20,270 หน่วย ขณะที่หน่วยเหลือขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น2% จาก 60,480 หน่วย เป็น 61,719 หน่วย มูลค่าลดลง 4.4% จาก 203,891 ล้านบาท เป็น 195,017 ล้านบาท ขณะที่อัตราดูดซับโดยภายรวมยังคงอยู่ในอัตรา 2.5 %

Advertisement

“ปี’65 ตลาดที่อยู่อาศัยชลบุรีจะกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน หลังซบเซาเมื่อปี’62 และผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี’64 คาดว่าปีนี้ จะมีหน่วยเปิดขายใหม่ 12,513 หน่วย เพิ่มขึ้น 99.9% มูลค่า 44,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 181.2% มีหน่วยขายได้ใหม่ 13,916 หน่วย เพิ่มขึ้น 14.8% มูลค่า 46,494 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.4% หน่วยเหลือขายเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น ผลจากเปิดตัวโครงการใหม่ คาดว่าจะมีหน่วยเหลือขาย 40,901 หน่วย เพิ่มขึ้น11% มูลค่า 142,436 ล้านบาท”

นายวิชัยกล่าวอีกว่า ส่วนระยอง และฉะเชิงเทราตลาดที่อยู่อาศัยยังอยู่ในภาวะทรงตัว โดยในพื้นที่ระยองคาดว่าจะมีโครงการเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาด 6,097 หน่วย เพิ่มขึ้น 13.3% มูลค่า 14,679 ล้านบาท ลดลง8.9% มีหน่วยขายได้ใหม่ 5,841 หน่วย ลดลง7% มูลค่า 13,989 ล้านบาท ลดลง13.3% มีหน่วยเหลือขาย 15,370 หน่วย ลดลง12.6% มูลค่า 37,284 ล้านบาท ลดลง18.4%

ขณะที่ฉะเชิงเทราจะมีโครงการเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาด 1,658 หน่วย ลดลง2.5% มูลค่า 4,292 ล้านบาท ลดลง 11.6% มีหน่วยขายได้ใหม่ 1,918 หน่วย เพิ่มขึ้น7.2% มูลค่า 5,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น2.5% มีหน่วยเหลือขาย 5,449 หน่วย ลดลง 9.6% มูลค่า 15,297 ล้านบาท ลดลง 14.4%

นายวิชัยกล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าการฟื้นที่ยังคงเกิดขึ้นในกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร ทั้งในส่วนเปิดขายใหม่ และจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ ซึ่งในส่วนอาคารชุดแม้เริ่มมีเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงต้องใช้เวลาฟื้นตัวตามสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ และกำลังซื้อที่จะกลับเข้ามาของนักลงทุนจากต่างประเทศเป็นสำคัญ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image