‘สุริยะ’ สั่ง กนอ.ดึงลงทุนครั้งใหญ่ ตั้งนิคมหนองละลอกบูมอีอีซี 4.5 หมื่นล้านบาท

‘สุริยะ’ สั่ง กนอ.ดึงลงทุนครั้งใหญ่ ตั้งนิคมหนองละลอกบูมอีอีซี 4.5 หมื่นล้านบาท

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สร้างผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) แต่มั่นใจว่าการบริหารจัดการสถานการณ์และศักยภาพของประเทศไทยที่มีอยู่นั้น สามารถสร้างความสนใจให้กับหลายประเทศได้ จึงต้องอาศัยช่วงเวลานี้ บวกกับปัจจัยการย้ายฐานลงทุนและการผลิตของนักลงทุนต่างชาติจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการค้า (เทรดวอร์) ของจีนและสหรัฐ เร่งดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศ ล่าสุด ได้กำชับให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เร่งดึงดูดการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมโดยการโชว์ศักยภาพและความพร้อมรองรับการลงทุน ขณะเดียวกันให้เตรียมความพร้อมนิคมอุตสาหกรรมทุกภูมิภาค เพื่อรองรับการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรม โดยจะต้องตอบโจทย์ทุกการแข่งขัน ทั้งศักยภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐานสากลแบบครบวงจร รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริหารจัดการอย่างทั่วถึง ซึ่ง กนอ.เองก็มีโปรโมชั่นส่งเสริมการขายและเช่าที่ดินในนิคมฯออกมาอย่างต่อเนื่อง

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า กนอ.พร้อมดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ กนอ. (บอร์ด กนอ.) อนุมัติในหลักการให้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใหม่ 1 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมหนองละลอก โดยร่วมดำเนินงานกับ บริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมระยอง ไทย-จีน จำกัด ในรูปแบบของนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ซึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่เพื่อรองรับการลงทุนในพื้นที่อีอีซี การขยายตัวของอุตสาหกรรมเป้าหมาย และอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมตามโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงตอบสนองนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีศักยภาพตามยุทธศาสตร์ของประเทศเชิงพื้นที่ โดยเอกชนเป็นผู้ลงทุนพัฒนาและให้บริการระบบสาธารณูปโภคภายใต้การกำกับของ กนอ.

Advertisement

สำหรับโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมหนองละลอก ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง พื้นที่ประมาณ 1,546 ไร่ ที่ตั้งของโครงการฯ ถือว่ามีความได้เปรียบจากการเป็นพื้นที่ดอน ไม่มีความเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม ด้านหน้าโครงการติดถนนทางหลวงแผ่นดิน และห่างจากทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เส้นทางชลบุรี-พัทยา ประมาณ 14 กิโลเมตร อยู่ห่างจากท่าเรืออุตสาหกรรม มาบตาพุด ประมาณ 24 กิโลเมตร ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ประมาณ 40 กิโลเมตร ท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง ประมาณ 60 กิโลเมตร และห่างจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประมาณ 150 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังอยู่ใกล้พื้นที่เขตประกอบการอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง

ทั้งนี้ ตัวโครงการแบ่งพื้นที่เป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรมทั่วไป ประมาณ 1,123 ไร่ พื้นที่โรงไฟฟ้า ประมาณ 22 ไร่ พื้นที่ระบบสาธารณูปโภค 181 ไร่ พื้นที่สีเขียวและแนวกันชน ประมาณ 218 ไร่ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาพัฒนาพื้นที่ทั้งหมดและเปิดให้บริการได้ภายใน 2 ปี โดยหลังเปิดดำเนินการแล้วจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนประมาณ 45,840 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นประมาณ 11,460 คน อย่างไรก็ตาม โครงการฯอยู่ในพื้นที่เป้าหมายของอีอีซี อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ อีกทั้งผู้ประกอบการยังได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการส่งเสริมของอีอีซีด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถขาย/ให้เช่าพื้นที่ทั้งหมดได้ในระยะเวลา 5 ปี

“โครงการฯดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาพื้นที่อีอีซีของรัฐบาล ที่มีการขับเคลื่อนและพัฒนาพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการวางโครงสร้างพื้นฐานในระบบสาธารณูปโภค อาทิ รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภาเมืองการบินภาคตะวันออก ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการชักจูงให้มาลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดย กนอ.ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้จัดเตรียมพื้นที่เพื่อรองรับนักลงทุน ซึ่งจากการพิจารณาข้อเสนอของการจัดตั้งนิคมฯดังกล่าวนั้น กนอ.เห็นว่านอกจากศักยภาพของโครงการฯ ทั้งในด้านทำเลที่ตั้ง การเชื่อมโยงเครือข่ายด้านคมนาคมขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แล้ว บริษัทยังมีความพร้อม มีฐานลูกค้า และมีประสบการณ์การดำเนินธุรกิจ คาดว่าจะทำให้โครงการฯประสบความสำเร็จได้” นายวีริศกล่าว

สำหรับการจัดตั้งนิคมฯดังกล่าว นำแนวคิดนิคอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ โดยจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ รอบพื้นที่โครงการฯ รวมทั้งจัดสรรพื้นที่สีเขียวภายในนิคมอุตสาหกรรมไม่น้อยกว่า 10% มีการนำน้ำทิ้งไปผ่านการบำบัดและปรับปรุงคุณภาพเพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ เพื่อลดอัตราการระบายน้ำทิ้งออกนอกพื้นที่ นอกจากนี้ ยังใช้แนวคิดการออกแบบอาคารแบบอารยสถาปัตย์ รวมถึงการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และใช้พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการ กนอ.ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสำหรับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 2557 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image