‘เศรษฐา’ ยันไม่ผลักดันใช้คริปโตซื้ออสังหาต่อ หลังรัฐออกกฎห้าม แนะตั้งเขตศก.ดิจิทัล ดึงนักลงทุนอยู่ไทย

‘เศรษฐา’ ยันไม่ผลักดันใช้คริปโตซื้ออสังหาต่อ หลังรัฐออกกฎห้าม แนะตั้งเขตศก.ดิจิทัล ดึงนักลงทุนอยู่ไทยยาว

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่แกรนด์ฮอลล์ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก (เพลินจิต) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวภายในงานสัมมนาและเสวนาพิเศษ ในหัวข้อ “สินทรัพย์ดิจิทัล Game Changer” เดิมพันเปลี่ยนอนาคต ว่า ในปี 2565 สำหรับบริษัทฯ ถือว่าเป็นปีที่ต้องปรับตัว เนื่องจากที่ผ่านมาต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจถดถอย และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกต้องเผชิญมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันถือว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว จึงถึงเวลาที่บริษัทฯ จะต้องปรับตัว ซึ่งจะต้องดูองค์รวมหลายๆ อย่าง เนื่องจากเราเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ จะทำอะไรก็ต้องดูสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดด้วย อาทิ มาตรการรัฐ และการออกโปรโมชั่นต่างๆ เป็นต้น อีกทั้งจากการที่รัฐบาลสนับสนุนการใช้รถพลังงานไฟฟ้า (อีวี) เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ธุรกิจที่อยู่อาศัยต้องปรับตัวเช่นกัน

นายเศรษฐา กล่าวว่า ทั้งนี้ ที่ผ่านมาแสนสิริถือเป็นภาคอสังหาริมทรัพย์รายแรกๆ ที่เข้ามาต่อยอดเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีทั้งการเปิดให้นำเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีมาใช้ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริได้ โดยเบื้องต้นมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการในส่วนนี้ ประมาณ 20 ราย ในจำนวนนี้นำเหรียญฯ มีใช้ซื้ออสังหาริมทรัพย์จริง 13 ราย มูลค่ารวมประมาณ 70 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกำยอดขายที่แสนสิริทำได้ต่อปี หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องเล็ก และล่าสุดรัฐบาลประกาศห้ามไม่ให้ใช้เหรียญในการซื้อขาย ซึ่งแสนสิริก็จะปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดออกมา และยืนยันว่าจะไม่มีการผลักดันต่อ

“ในมุมของผมสินทรัพย์ดิจิทัลมีประโยชน์หลายด้าน ทั้งด้านการลงทุน และการเก็งกำไร ดังนั้น หากรัฐบาลไทยสามารถดึงนักลงทุนมากลุ่มคริปโตคอมมูนิตี้ หรือฟินเทค เข้ามาอยู่ในประเทศได้ โดยออกกฎหมายพิเศษตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจเฉพาะ มีมาตรการด้านภาษีให้ เพื่อดึงนักลงทุนกลุ่มดังกล่าว ให้มาอยู่อาศัยในไทยระยะยาว ซึ่งถ้ามีคนย้ายเข้ามาอยู่ไทยจริง แน่นอนว่าธุรกิจกลายๆ อย่าง อาทิ โลจิสติกส์ ค้าขาย โรงแรม และสายการบิน เป็นต้น ก็จะได้รับผลดีจากคนกลุ่มนี้ไปด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในภาคสินทรัพย์ดิจิทัลก็ตาม ซึ่งจะสร้างรายได้ให้ประเทศไทยอย่างมหาศาล” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในประเทศไทย นั้น มองว่ารัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขปัญหา อาทิ เรื่องหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกระทบต่อทุกธุรกิจ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่รอด เพราะดีมานด์มีแต่ความสามารถในการจ่ายหนี้สินไม่มี ส่วนอีกเรื่องที่เป็นปัญหาคือเรื่องดอกเบี้ย ซึ่งเบื้องต้นได้มีการเสนอกับ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าต้องการให้รัฐบาลช่วยลดเพดานดอกเบี้ยให้กับทุกธุรกิจที่คิดดอกเบี้ยกับประชาชนจาก 20% เหลือ 10% จึงอยากขอให้ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non Bank) เสียสละ เพื่อช่วยเหลือในส่วนนี้ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญ

ADVERTISMENT

“ตอนนี้หลายคนในประเทศเปรียบเสมือนเป็นคนไข้ แต่คนไข้หลายคนก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นไข้ และไม่แน่ใจว่า หมอที่มีเก่งพอหรือเปล่า และถ้าผมเป็นคนไข้และรักษากับหมคนนี้มา 8 ปี แต่ไม่หาย ผมจะเปลี่ยนหมอ และจะไม่กลายไปเป็นหมอเอง” นายเศรษฐา กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image