SCB CIO คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็ว-แรง กดดันตลาดการเงินโลก แนะเก็บหุ้นเวียดนาม-Asian REITs

SCB CIO คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็ว-แรง กดดันตลาดการเงินโลก แนะเก็บหุ้นเวียดนาม-Asian REITs รับแผนเปิดเมืองของไทย-สิงคโปร์

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ หัวหน้าทีม SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า รายงานการประชุมของ คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐที่มีหน้าที่กำหนดควบคุมดูแลเรื่องอัตราดอกเบี้ย ( Federal Open market Committee : FOMC ) เมื่อ เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงขึ้น รวมถึงการเริ่มนโยบายดึงสภาพออกจากระบบด้วยการปล่อยให้พันธบัตรที่ซื้อมาครบอายุ (Quantitative Tightening : QT )ในไตรมาส 2 นี้ เพื่อจัดการเงินเฟ้อ SCB CIO ยังคงมุมมองว่าเฟดจะ ขึ้นดอกเบี้ย 50 bps ในการประชุมเดือนพฤษภาคม และ มิถุนายน และคาดว่าในอีก 4 การประชุมที่เหลือของปีนี้ เฟด จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องครั้งละ 25 bps ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงของเฟด ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง และจะกดดันให้ธนาคารกลางอื่นๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางยุโรป ( ECB ) ต้องเร่งส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย โดยคาดว่า ECB จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (depository rate) 50 bps ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อจัดการเงินเฟ้อ และชะลอการอ่อนค่าของค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับ US dollar

ทั้งนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ขยับขึ้นเร็วทำให้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นเร่งตัวขึ้นและมีบางช่วงสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว ทำให้ตลาดกังวลภาวะที่เรียกว่า inverted yield curve ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ตลาดการเงินโลกให้ความสำคัญในการพยากรณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ( recession )โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จากสถิติในอดีตชี้ว่า การเกิด inverted yield curve ที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 2 ปี สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ไม่ได้ตามมาด้วย recession ทุกครั้งและในกรณีที่เกิดจะใช้ระยะเวลาเฉลี่ยถึง 16 เดือนจึงจะเกิดภาวะ recession ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม inverted yield curve ส่งผลต่อการทำกำไรของธุรกิจภาคการเงินและธนาคาร ซึ่งหากภาคธุรกิจนี้ชะลอการปล่อยสินเชื่อ ก็มีโอกาสจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง

SCB CIO ได้วิเคราะห์ผลตอบแทนสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ในช่วงที่ตลาดกังวล inverted yield curve ในสหรัฐฯ และพบว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบเชิงลบจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรระยะสั้น จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกและใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 11 เดือน S&P500 ถึงจะเข้าสู่จุดสูงสุด โดย 6 เดือนหลังจากเกิด inverted yield curve ดัชนี Russell 1000 บ่งชี้ว่า หุ้นในกลุ่ม growth ให้ผลตอบแทนสูงกว่ากลุ่ม value เล็กน้อย ส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมใน S&P500 พบว่า กลุ่ม Utilities, Financials, Industrials, Healthcare และ Technology ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ

ดร.กำพล กล่าวต่อไปว่า กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ การจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ (Asset allocation) มีความสำคัญมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนจากการปรับนโยบาย และความไม่แน่นอนสูงจากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ SCB CIO ยังคงแนะนำให้มีเงินสดหรือสินทรัพย์สภาพคล่อง (Neutral) ในพอร์ตโฟลิโอ ส่วนมุมมองการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ ด้วยแนวโน้มการเปิดเมืองและเปิดประเทศที่ชัดเจนของไทยและสิงคโปร์ รวมถึง Valuation ที่ยังไม่ตึงตัวเกินไป SCB CIO ได้ปรับมุมมอง Asian REITs เป็น Positive และยังคงมุมมอง Neutral สำหรับหุ้นในกลุ่ม DMs เนื่องจากตลาดมีแนวโน้มผันผวนสูงในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าจากสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงในสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจยุโรป สำหรับตลาด EMs เราคงมุมมอง Positive ต่อตลาดหุ้นเวียดนาม จากการฟื้นตัวแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2022 และ valuation ที่ยังน่าสนใจ ในขณะที่มีมุมมอง slightly positive ต่อหุ้นไทย จาก valuation ที่เริ่มกลับมาตึงตัว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image