‘อาคม’​ รับไทยกระทบหนักจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน-โควิด พร้อมเร่งเครื่องเดินหน้าหาตลาดใหม่

‘อาคม’​ รับไทยกระทบหนักจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน-โควิด พร้อมเร่งเครื่องเดินหน้าหาตลาดใหม่ ดึงนักลงทุนเข้าปท.

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเป็นวิทยากรในงานเสวนาในหัวข้อ “มองเศรษฐกิจโลก สะท้อนเศรษฐกิจไทย” ภายในงาน “Better Thailand ถามมา ตอบไป” ที่ รอยัล พารากอนฮอลล์ ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทย เป็นเศรษฐกิจระบบเปิด เราอยู่ในเศรษฐกิจของโลก เพราะฉะนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาเศรษฐกิจอื่นในประเทศมีปัญหาจะไม่กระทบไทย เนื่องจากการค้าการลงทุนเป็นสำคัญ ทำให้ไทยมีการเชื่อมโยงกับต่างประเทศอยู่ 2-3 เรื่อง อาทิ เรื่องการค้า ที่ไทยต้องนำเข้าสินค้าสำเร็จรูป และเรื่องการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศ เป็นต้น

นอกจากนี้ ไทยยังมีการเชื่อมต่างประเทศในเรื่องการลงทุน ที่มีการเชื่อมต่อกันระหว่างตลาดเงินกับตลาดทุน ซึ่งเงินในโลกทั้งหลายเวลาคนที่มีกำลังทรัพย์อยากไปลงทุน ก็จะมอหาตลาดที่มีโอกาส เพราะฉะนั้น ถ้าเศรษฐกิจไทยดีเงินในโลกก็จะไหลเข้ามา แต่ปัจจุบันเราคงมองเศรษฐกิจโลกทั้งใบคงไม่ได้ ไทยต้องมีการจำกัดมุมมองลงมา และดูว่าไทยมีสิ่งที่ปฏิสัมพันธ์กับโลกกี่ส่วน แบ่งได้เป็น โลกทั้งใบ ภูมิภาค และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสิ่งที่เราได้เห็นจากวิกฤตที่ผ่านมา อาทิ วิกฤตปี 2540 และวิกฤตปี 2552-2553 ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง

“เราปฏิเสธไม่ได้ว่าในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยจะมีผลอย่างไรบ้าง แต่เบื้องต้นเราต้องจัดการตัวเองก่อน นอกจากนี้ อีกเรื่องที่ไทยได้รับผลกระทบจากการพึ่งพิงโลก คือภาคการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงเห็นได้จากจำนวนที่หายไปทั้งหมด แต่สิ่งที่พูดมาเสมอที่เราต้องทำ คือเราต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆ อาทิ อาซุดิอาราเบีย เป็นต้น ฉะนั้น เราต้องขยันหาตลาด แม้กระทั่งในช่วงโควิดแม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของการเดินทาง แต่เรื่องของการจัดงานมหกรรมต่างๆ รวมถึงการดึงนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกกลับมาเที่ยวในประเทศไทย เป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องทำ”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังค้ำจุนเศรษฐกิจของเราอยู่ได้ คือ นโยบายในเรื่องของการพัฒนา พึ่งพาตนเอง และจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็เป็นสิ่งที่เรายึดถึงมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นรากฐาน หรือพื้นฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจก็ยังอยู่ในภาคเกษตร กับภาคชนบท ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่สามารถทำให้เราอยู่รอดได้ ส่วนการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศในภูมิภาค มีปริมาณการค้าการลงทุนมากเหมือนกัน ซึ่งช่วยในเรื่องการลดผลกระทบ และลดการพึ่งพาจากประเทศตะวันตกอีกด้วย

ทั้งนี้ ในเรื่องของนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง เป็นเรื่องที่ส่อประสานกัน โดนโยบายการเงินก็จะดูแลในส่วนของต้นทุนเงิน พักชำระหนี้ การเติมเงินทุนใหม่ และการพักทรัพย์พักหนี้ ส่วนในเรื่องของการคลัง จะดูแลเรื่องการแบกรับต้นทุนที่เกิดขึ้นช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากปัญหาการตกงาน โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มนี้ อาทิ โครงการเราไม่ทิ้งกัน เราชนะ และคนละครึ่ง เป็นต้น ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนที่รัฐบาลต้องจ่ายทั้งสิ้น จึงเป็นที่มาของการกู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก กองทุนระหว่างประเทศ ก็ล้วนออกมาให้ทิศทางเช่นนี้ว่า นโยบายการคลังต้องมีบทบาทในช่วงโควิด ส่วนนโยบายการเงินมีหน้าที่ซัพพอร์ต ดูแลภาคธุรกิจ จึงทำให้เห็นว่าต้นทุนการกูยืมเงินของประเทศสูงขึ้น แต่ไม่ได้สูงที่สุด และเป็นเรื่องปกติที่ทุกประเทศทั่วโลกทำกัน

ADVERTISMENT

ส่วนการเดินหน้าต่อจากนี้ของกระทรวงการคลัง นั้น ความจริงแล้วยังมีอีกหนึ่งต้นทุนของกระทรวงการคลัง คือไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ หรือการเติมเงินสินเชื่อเข้าไปให้ใหม่ ของธนาคารเอกชน หรือธนาคารรัฐ ที่มีข้อได้เปรียบตรงที่หากเกิดหนี้เสียหาย รัฐบาลจะเข้ามารับภาระให้ 30-40% ซึ่งเป็นการลดภาษี เรื่องเหล่านี้จึงเป็นต้นทุนที่กระทรวงการคลังต้องแบกรับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถามว่าหลังจากนี้ จะเดินอย่างไรต่อไป เมื่อมีภาระเพิ่มขึ้นมามากกว่าปกติ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการสร้างการเจริญเติบโต ซึ่งเลือกวิธีโตช้าแต่มั่นคง

“ส่วนในเรื่องของการเติบโตของประเทศไทยในอนาคต มองว่ามีโอกาสมาก เพราะทุกวิกฤตมีโอกาส เพียงแต่เราจะมองเห็นและใช้ประโยชน์กับสิ่งอำนวยความสะดวก หรือระบบนิเวศน์ต่างๆ ที่ภาครัฐได้ดำเนินการไว้ให้อย่างไร ดังนั้น ในอนาคตสิ่งที่สำคัญด้วยอิทธิพลของเทคโนโลยีเหล่านี้ การที่คนที่มีอาชีพอิสระ หรือทำงานอยู่ในโรงงาน จะมีรายได้จากยุคเทคโนโลยี จะต้องมีการปรับตัวให้มีทักษะและความรู้ในการสร้างรายได้ให้กับตัวเอง เมื่อมีรายได้ก็ต้องจัดสรรให้ดี เพราะความมั่นคงของชีวิตหลังพ้นวัยทำงานเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งในส่วนของภาครัฐเองต้องจัดระบบสวัสดิการ และการช่วยเหลือที่ตรงจุดมากขึ้นด้วย”