คิดเห็นแชร์ : แชร์มุมมองหุ้น‘Sin stock’

บทความ “คิด เห็น แชร์” ฉบับนี้ ผมจะกล่าวถึงหุ้นในกลุ่มที่อาจมีชื่อฟังดูน่ากลัวอย่างหุ้น “Sin stock” หรืออาจแปลเป็นภาษาไทยตรงตามตัวอักษรว่า “หุ้นบาป” (เท่าที่ผมทราบ ยังไม่มีการกำหนดคำแปลหุ้นกลุ่ม “Sin stock” เป็นภาษาไทยในทางวิชาการ) ซึ่งผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ในบทความ “คิด เห็น แชร์” เมื่อเดือน มี.ค.2564 และผูกโยงเข้ากับการลงทุนในหุ้น กัญชง-กัญชา

โดยผมจะขอย้อนอธิบายทฤษฎีเรื่อง “Sin stock” เสียก่อน คำว่า “Sin” หรือ “บาป” เกี่ยวข้องกับ “บาป 7 ประการ” หรือ “Seven deadly sins” ในทางศาสนาคริสต์ ซึ่งประกอบไปด้วย ราคะ ตะกละ โลภะ เกียจคร้าน โทสะ ริษยา และอัตตา ทั้งนี้ ผู้อ่านหลายท่านที่เพิ่งเคยอ่านบทความนี้ อาจจะเริ่มสงสัยว่า แล้วเรื่องของบาปเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นอย่างไร ในทางทฤษฎีทางการเงินแล้ว มูลค่าของหุ้นจะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักๆ (กำหนดให้ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ คงที่) คือ i) แนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงาน และ ii) ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับ “บาป 7 ประการ” นั้นมักที่จะมีผลการดำเนินงานที่มั่นคง มีการเติบโต และมีความเสี่ยงต่ำ แม้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจสุรา ยาสูบ และรวมถึงกัญชา (ความตะกละ) ธุรกิจการพนัน กาสิโน (ความโลภ) ธุรกิจผลิตและขายอาวุธ (โทสะ) ธุรกิจอุตสาหกรรมการบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ (ราคะ) เป็นต้น ธุรกิจต่างๆ เหล่านี้ที่ผมยกตัวอย่างจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจต่ำและมีความมั่นคง อยู่คู่กับประวัติศาสตร์ของมนุษย์มาอย่างยาวนาน ดังนั้น ในทางทฤษฎีการเงินแล้ว Sin stock จึงมักที่จะให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เพราะผู้บริโภคมักที่จะมีการใช้ซ้ำอยู่เรื่อยๆ และมีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าธุรกิจ หรือสินค้าทั่วไป

ถึงตรงนี้ ผู้อ่านน่าจะเริ่มเห็นภาพ Valuation ของธุรกิจกัญชาที่ควรจะมีความพรีเมียมมากกว่าธุรกิจกัญชง เนื่องจาก “กัญชง” นั้นจะมุ่งเน้นสาร CBD ที่ใช้ในทางการแพทย์ ความพรีเมียมของกัญชงจึงผูกติดอยู่กับสินค้าทางการแพทย์เป็นหลัก / ขณะที่ “กัญชา” สามารถต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นได้อีก โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการสันทนาการที่อาจเชื่อมโยงกับ บาปแห่งความตะกละ เช่นเดียวกับ สุราและยาสูบ เป็นต้น แม้ว่าภาครัฐพยายามที่จะออกกฎหมายมาเพื่อป้องกันการนำกัญชามาใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยล่าสุดมีการออกกฎหมายกำหนดให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม โดยหลักการคือ จำกัดการครอบครองช่อดอกกัญชาโดยเฉพาะเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี และหญิงมีครรภ์ เพื่อป้องกันการนำมาเสพเพื่อการสันทนาการโดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน แต่ผมเชื่อว่ากฎหมายนี้ไม่ได้เป็นการลดทอนความพรีเมียมในการประกอบธุรกิจกัญชาในประเทศไทยลง เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถขออนุญาตทำการเพาะปลูกกัญชาในประเทศเพื่อส่งออก ทั้งเพื่อใช้ในทางการแพทย์ และเพื่อขายไปยังกลุ่มประเทศที่สามารถใช้กัญชาเพื่อสันทนาการอย่างถูกกฎหมายได้ ดังนั้น การปลดล็อกกัญชาในประเทศไทยครั้งนี้ จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อผู้ประกอบการธุรกิจกัญชง-กัญชา นอกจากนี้ หากมองในความเป็นจริงผมเชื่อว่าประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียที่กำหนดให้กัญชาไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งเท่ากับว่าประเด็นเรื่องกัญชาอาจจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สำคัญ … เพียงแต่อาจจะไม่สามารถโฆษณาประเด็นนี้เพื่อการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของภาครัฐที่ตัดสินใจปลดล็อกกัญชาครั้งนี้

อย่างไรก็ดี บริษัทจดทะเบียนหลายรายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เริ่มประกอบธุรกิจกัญชงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ยังปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจไม่ทัน เนื่องจากยังมุ่งเน้นการเพาะปลูกและงานวิจัยการนำสารสกัดกัญชงมาใช้ให้มีมูลค่าสูงที่สุด ดังนั้น ผมเชื่อว่ารายได้จากธุรกิจกัญชาจะเริ่มออกดอกออกผลในช่วง 2H65 หรือปี 2566 เป็นหลัก ซึ่งหากบริษัทจดทะเบียนเริ่มมีกำไรจากธุรกิจกัญชาอย่างต่อเนื่อง ความพรีเมียมในด้านการเป็นหุ้นกลุ่ม Sin stock ก็จะเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นกว่านี้

Advertisement

กลับมาที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปัจจัยลบจากภายนอกที่กดดันตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ในภาวะเงินเฟ้อที่สูงผิดปกติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 เช่นกัน ผมจึงยังคงมุมมองเช่นในบทความ คิด เห็น แชร์ เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ว่าตลาดหุ้นไทยที่มีโอกาสพักฐานในช่วง 1-3 เดือนนี้ ซึ่งเป็นโอกาสในการซื้อสะสมของนักลงทุนระยะกลาง-ยาว (6 เดือน-1 ปี) เนื่องจากคาดแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวที่ดี ตามอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมทั้งเกษตรและอาหาร จากภาวะขาดแคลนอาหารทั่วโลกในขณะนี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image