‘มาม่า’ พลิกเกม ผุดช็อปเจาะปั๊ม-แหล่งเที่ยว ขายเมนูอิ่มละ 60-80 บาท เร่งออกสูตรใหม่ ‘โซเดียมต่ำ’
นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท แม้จะอยู่ในช่วงประสบปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นมากก็ตาม แต่ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังเติบโตแต่ไม่หวือหวาเหมือนช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าปี 2565 ตลาดจะเติบโตจากปีก่อน 2564 ประมาณ 10% ประเมินจากกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรกที่บริษัทยังมียอดขายได้ดีอยู่
- บุกปั๊ม-แหล่งเที่ยว เปิด ‘มาม่าช็อป’
“สถานการณ์ครึ่งหลังปีนี้ ยังคงต้องจับสงครามรัสเซียกับยูเครนว่าจะจบหรือยืดเยื้อต่อปีหน้า เพราะจะกระทบต่อเทรนด์อาหาร เกิดภาวะขาดแคลน เนื่องจากเมื่อสงครามยังไม่จบ เราก็ไม่รู้ว่าจะมีประเทศไหนที่จะมีมาตรการแซงก์ชั่นออกมาอีกหรือไม่ เช่น ห้ามส่งออกอาหาร จะกระทบเป็นโดมิโนและเกิดการแพนิกขึ้น เราได้แต่คาดหวังว่ามันจะถึงจุดสูงสูงไปแล้ว หรือทรงตัวมาสักพักแล้ว” นายพันธ์กล่าว
นายพันธ์กล่าวว่า ด้วยสภาวะตลาดปัจจุบันบริษัทกำลังจะเปิด “มาม่าช็อป” เพื่อต่อยอดธุรกิจ และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ และภาพลักษณ์มาม่าว่าไม่ได้เป็นอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น โดยนำมาม่ามาจัดเป็นเมนู ใส่เครื่องปรูงและวัตถุดิบต่างๆ เพิ่มเติมให้ดูน่ากิน และขายในราคาที่ไม่แพงมาก ซึ่งได้เปิดตัวในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 26 ในงานมีเปิดร้าน มี 3 เมนู เสิร์ฟพร้อมน้ำแร่มองต์เฟลอ ขนาด 500 มิลลิลิตร (มล.) ได้แก่ มาม่าหมูสับ ราคา 100 บาทต่อชาม มาม่าต้มยำกุ้งน้ำข้น และมาม่าเย็นตาโฟทะเล ราคา 120 บาทต่อชาม ผลปรากฏว่าหลังเปิดขายวันแรก (30 มิ.ย.) ขายได้เกิน 700 ชาม ถือว่าเกินคาด
“จริงๆ เราคิดไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว พอเกิดโควิดจึงชะลอไว้ก่อน และนำกลับมาเริ่มคิดในปีนี้และเริ่มทำในปีหน้า เน้นในพื้นที่สถานีบริการน้ำมันและสถานที่ท่องเที่ยว ตั้งเป้าระยะเริ่มต้นจะเปิด 1-3 แห่ง ใช้เงินลงทุนแห่งละประมาณ 1 ล้านบาท ราคาชามละ 60-80 บาท เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการกินอะไรง่ายๆ รวดเร็ว เราจะเข้าไปตอบโจทย์ตรงนี้” นายพันธ์กล่าว
นายพันธ์กล่าวว่า ในช่วงเกิดโควิด มีร้านอาหารปิดตัวไปพอสมควร จะมีพื้นที่ว่าง ซึ่งบริษัทจะไปสำรวจพื้นที่ว่ามีตรงไหนที่มีความเหมาะสมจะเปิดมาม่าช็อปได้ โดยบริษัทจะดำเนินการเองทั้งหมด ไม่มีระบบแฟรนไชส์ อย่างไรก็ตาม หากในพื้นที่ไหนที่มีร้านค้าหรือเมนูยอดฮิตที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ทางบริษัทก็อาจจะชวนมาร่วมกันทำเมนู จะเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกัน ในการเพิ่มช่องทางการขายได้มากขึ้น
“มาม่าเราอายุครบ 50 ปี ที่ผ่านมาไม่เคยลดปริมาณ แม้ว่าต้นทุนจะสูงขึ้น แต่มีออกสูตรใหม่ เช่น เมื่อต้นปีนี้ ได้ออก 3 รสชาติใหม่ มาม่ารสข้าวซอยไก่ มาม่าบะหมี่หยกแห้งรสเป็ดย่าง และมาม่าเส้นโฮลวีตรสหมูพริกไทยดำ ขายในราคาซองละ 10 บาท ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี” นายพันธ์กล่าว
- รอพาณิชย์ เคาะขึ้นราคา 1 บาท
นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันต้นทุนวัตถุดิบใช้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือมาม่าเพิ่มขึ้นสูง โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มปรับขึ้น 110% หรือมากกว่านั้น ข้าวสาลีเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 53% ซึ่งทั้ง 2 ตัวรวมกันก็ประมาณครึ่งหนึ่งของต้นทุนทั้งหมด และการที่น้ำมันขึ้นราคา ทำให้บรรจุภัณฑ์ ค่าขนส่ง ทยอยขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ภาพรวมกำลังซื้อในตลาดก็ไม่เหมือนเดิม ลดลงพอสมควร เมื่อเทียบก่อนเกิดโควิด
“เมื่อต้นทุนเพิ่มต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนสงครามแล้ว จึงขอกระทรวงพาณิชย์ปรับราคามาม่าเพิ่ม 1 บาท จาก 6 บาท เป็น 7 บาท อยู่ระหว่างรอการอนุมัติ ไม่ใช่กระทรวงพาณิชย์ไม่อนุญาตให้ขึ้นราคา แต่มีขั้นตอนและที่ผ่านมามีประสานอัพเดตข้อมูลต่างๆ ร่วมกันมาตลอด ส่วนรัฐจะอนุมัติเมื่อไรก็เมื่อนั้น เชื่อว่าการปรับราคาตามต้นทุนที่แท้จริง ตามกลไกตลาดจะมีวิธีการจัดการที่ไม่ส่งผลกระทบทั้งกับผู้ประกอบการและผู้บริโภค” นายเวทิตกล่าว
- ออกสูตรใหม่ ‘โซเดียมต่ำ’ ขาย 8 บาท
นายเวทิตกล่าวว่า ทางออกธุรกิจในขณะนี้พยายามพัฒนาและออกสินค้าใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายจูงใจผู้บริโภค โดยครึ่งปีหลังนี้ จะเน้นออกสินค้าซีรีส์พรีเมียมราคา 8-10 บาทต่อซอง เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น เป็นการทำการตลาดเพิ่มจากกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในตลาดทั่วไปที่ราคาไม่เกิน 6 บาทต่อซอง
โดยต้นเดือนสิงหาคมนี้จะวางจำหน่ายมาม่าสูตรใหม่ ‘Less Sodium’ (โซเดียมต่ำ) ราคา 8 บาท เป็นการนำมาม่า 4 รสชาติยอดนิยมมาปรับสูตรใหม่ด้วยการลดโซเดียมลงจากสูตรเดิม ได้แก่ รสต้มยำกุ้ง โซเดียมลดลง 43% รสหมูสับโซเดียมลดลง 32% รสต้มยำกุ้งน้ำข้นโซเดียมลดลง 38% และรสเส้นหมี่น้ำใส โซเดียมลดลง 38% เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมสินค้าเพื่อสุขภาพ
“มาม่าโซเดียมต่ำ เป็นสินค้าทางเลือกซีรีส์ใหม่ที่เรานำมาทดลองตลาด เพราะปัจจุบันคนใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมาก จึงคิดว่าจะตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาคนไทยทานโซเดียมลดลง 14% จากการบริโภคบะหมี่ 52 ซองต่อคนต่อปี ที่สำคัญเราไม่ได้ออกสินค้าตัวนี้มารับกับมาตรการจัดเก็บภาษีความเค็มแต่อย่างใด” นายเวทิตกล่าว