ก.ย.กระเป๋าฉีก ค่าไฟจ่อขึ้นพรวด 5บาท/หน่วย แพงยาวถึงปีหน้า ‘เบนซิน’ ลุ้นลดราคาอีก
ประชาชนคนไทยเตรียมกระเป๋าฉีก เมื่อค่าไฟจะขึ้นพรวดเกือบ 5 บาท/หน่วยในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคมนี้
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. อยู่ระหว่างพิจารณาปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) ในงวดใหม่เดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 มีแนวโน้มว่าจะพุ่งสูงถึง 90-100 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งอาจทำให้ค่าไฟฟ้ารวมต้องปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 5 บาทต่อหน่วย ในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) มีแนวโน้มราคาแพงต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ที่กว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู คาดว่า กกพ.จะประกาศค่าเอฟทีอย่างเป็นทางการประมาณปลายเดือนกรกฎาคมนี้
“ปลายสัปดาห์นี้ กกพ.จะประชุมทบทวนอีกครั้ง เพื่อประกาศค่าเอฟที หลังราคาแอลเอ็นจีนำเข้าพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง เป็นปัจจัยนอกเหนือการควบคุม กกพ.ค่อนข้างหนักใจ ปัจจุบันต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แบกรับแทนประชาชนยังสูงกว่า 80,000 ล้านบาทด้วย หากให้ กฟผ.แบกรับภาระต้นทุนต่อโดยไม่มีการทยอยคืนให้ผ่านการปรับเพิ่มค่าเอฟที อาจทำให้ กฟผ.ติดลบสูงถึง 100,000 ล้านบาท ภายในปีนี้” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า อีกประเด็นที่ กกพ.หนักใจคือ ปัจจัยความไม่แน่นอนจากปริมาณผลผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งขาดช่วงไประหว่างการเปลี่ยนผู้รับสัมปทานแหล่งก๊าซเอราวัณ ซึ่งแหล่งก๊าซเอราวัณเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติต้นทุนต่ำและเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า จากเดิมปริมาณก๊าซป้อนเข้าสู่ระบบ 1,000 ล้านลูกบาศก์ลิตรต่อวัน จนถึงขณะนี้ผู้รับสัมปทานยังไม่แจ้งปริมาณขยายกำลังการผลิตเพื่อชดเชยก๊าซที่ขาดหายไปได้อย่างชัดเจน ทำให้การบริหารจัดการ และการวางแผนทำได้ยากมากขึ้นด้วย
โดยได้รับแจ้งเพียงว่า ระยะเวลาที่จะทำให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติกลับมามีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการในระดับเดิมก่อนเปลี่ยนสัมปทานอาจต้องใช้ระยะเวลาสำรวจ ขุดเจาะ ผลิตอีกประมาณ 2 ปี หมายความว่า ค่าไฟฟ้าจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงราคาแพงจากการนำเข้าแอลเอ็นจี ทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวอีกอย่างน้อย 2 ปี
“คาดว่าไทยจะเผชิญกับภาวะค่าไฟแพงต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีนี้ และต่อเนื่องตลอดปี 2566 ด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบกระทบต่อค่าเอฟทีในงวดใหม่คือ ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงจริงในงวดก่อนหน้า(พฤษภาคม-สิงหาคม2565) สูงกว่าประมาณการ จึงต้องนำมาคำนวณรวมกับค่าเอฟทีงวดใหม่ รวมถึงภาระต้นทุนจากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เทียบกับประมาณการค่าเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม2565 อยู่ที่ 34.40 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ปัจจุบันเฉลี่ย 36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ”แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมัน สำนักงานคณะกรรมการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(สกนช.) แจ้งว่า จากราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปตลาดโลกที่ลดลงมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกกลุ่มเบนซิน (ยกเว้นอี 85) ปรับลดลงต่อเนื่อง 2 วัน รวม 4.50 บาทต่อลิตร ขณะที่ดีเซลยังไม่ลดราคา โดยยังตรึงไว้ไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาจริงอยู่ที่ประมาณ 42-44 บาทต่อลิตร เพราะกองทุนน้ำมันยังรับภาระดูแลอยู่ แม้เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม จะอุดหนุนลดลงเหลือ 3.06 บาทต่อลิตร แต่ต้องติดตามราคาตลาดโลกเปิดในวันที่ 11 กรกฎาคมอีกครั้ง
คาดว่าราคาตลาดโลกเริ่มปรับขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นในช่วงเวลานี้ราคาขายปลีกดีเซลจะยังไม่ลดลงแน่นอน ประกอบกับขณะนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีฐานะค่อนข้างวิกฤตเพราะติดลบทะลุแสนล้านบาทแล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับกลุ่มเบนซินหลังสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลงมาก สัปดาห์นี้ต้องติดตามสถานการณ์โลกเป็นหลัก หากตลาดโลกลดลง และค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับสูง มีความเป็นไปได้ที่ราคาขายปลีกเบนซินจะปรับลดลงอีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ อุดหนุนเบนซิน 2 ชนิด คือ อี20 และอี85 อยู่ที่ 0.82 บาทต่อลิตร และ 0.53 บาทต่อลิตรตามลำดับ เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชนในช่วงที่ผ่านมา