‘ชมภารี ชมภูรัตน์’ เขย่าใหญ่ กรมอุตุนิยมวิทยา สู่ยุค 4.0 มากกว่าพยากรณ์ สารตั้งต้นข้อมูลรอบทิศ

‘ชมภารี ชมภูรัตน์’ เขย่าใหญ่ กรมอุตุนิยมวิทยา สู่ยุค 4.0 มากกว่าพยากรณ์
ชมภารี ชมภูรัตน์

‘ชมภารี ชมภูรัตน์’ เขย่าใหญ่ กรมอุตุนิยมวิทยา สู่ยุค 4.0 มากกว่าพยากรณ์ สารตั้งต้นข้อมูลรอบทิศ

“การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ไม่ใช่ว่าเราจะเอาคนออก แต่เราต้องปรับบทบาทของเจ้าหน้าที่ เปลี่ยนเป็นผู้บำรุงรักษาอุปกรณ์ที่เก่าแก่ให้ยืดอายุออกไป ดังนั้นคนกรมอุตุนิยมวิทยาไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลกระทบต่องาน”

การพยากรณ์อากาศสำคัญมากในการดำรงชีวิต และ “กรมอุตุนิยมวิทยา” ก็เป็นองค์กรที่คอยทำหน้าที่บริการประชาชนในด้านสภาพอากาศ ซึ่ง “ธรรมชาติ” ยากที่จะคาดเดาในระยะยาวได้ สภาพอากาศขณะนั้นดูปลอดโปร่งสดใสดี แต่อยู่ๆ เมฆดำทะมึนก็แผ่ลงมาปกคลุม กลายเป็นเม็ดฝนโปรยปรายลงมาซะอย่างงั้น

ยุคดิจิทัล มีแอพพลิเคชั่นมากมายให้เลือกตรวจเช็กสภาพอากาศ แต่แอพพลิเคชั่นที่แม่นยำที่สุดทุกวันนี้ อาจไม่เป๊ะ100% เพราะการพยากรณ์ = การคาดการณ์ จะดีถ้าเราหมั่นอัพเดตเรื่อยๆ ไม่ใช่เช็กล่วงหน้าเป็นเดือน เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้น สำหรับการใช้ชีวิต สุขภาพ การทำการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน และเศรษฐกิจ

Advertisement

มติชน สัมภาษณ์ ชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ถึงข้อครหาสาเหตุที่การพยากรณ์ไม่แม่นยำในบางพื้นที่ ตลอดจนความท้าทายใหม่ในการปรับโฉม “กรมอุตุนิยมวิทยาสู่ยุค 4.0” โดยอธิบดีหญิงเก่งรายนี้ยืนยันว่า บทบาทหน้าที่ของกรมไม่ใช่แค่พยากรณ์อากาศ แต่เป็นหน่วยงาน “สารตั้งต้น” เพื่อวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนทุกกลุ่ม ตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกัน

⦁บทบาทต้องมากกว่าพยากรณ์อากาศ
“ชมภารี” เล่าถึงการทำงานว่า หลังเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา นโยบายที่มอบให้เจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยา คือ เราต้องเป็นมากกว่าผู้ทำหน้าที่พยากรณ์อากาศ เป็นมากกว่าการรายงานสภาพอากาศและฟ้าฝนจะตกเมื่อไหร่ แต่บทบาทของกรมอุตุนิยมวิทยาต้องบอกให้ได้ว่า ประโยชน์ที่ประชาชนแต่ละพื้นที่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมแตกต่างกันมีอะไรบ้าง เช่น กลุ่มเกษตรกร เพื่อวางแผนในการใส่ปุ๋ย ให้น้ำ, กลุ่มประมง เพื่อวางแผนการเดินเรือ กลุ่มอุตสาหกรรม คนเมือง ต้องการข้อมูลพยากรณ์อีกแบบหนึ่ง เป็นต้น

ปัจจุบัน กรมอุตุนิยมวิทยามีข้อมูลลงลึกเฉพาะพื้นที่ต่างๆ จากอุปกรณ์ในการวัดสภาพอากาศ, ปริมาณน้ำฝน แต่เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งมานานตั้งแต่ก่อตั้งกรมอุตุนิยมวิทยามา 80 ปีที่แล้ว ขณะเดียวกันการเก็บข้อมูลยังอาศัยแรงงานจากคนในพื้นที่ เข้าไปจดข้อมูลเป็นช่วงเวลา เช่น 9 โมงเช้าครั้งเดียว ดังนั้นประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลเพื่อมาพยากรณ์อากาศจึงไม่แม่นยำ ประกอบกับอุปกรณ์ดังกล่าวมีไม่ทั่วถึง อาทิ จังหวัดขอนแก่น แม้จะเป็นจังหวัดเดียวกัน แต่คนละตำบล มีสภาพอากาศแตกต่างกันอย่างคาดไม่ถึง เพราะพื้นที่ต่างกัน นอกจากนี้ สภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ข้อมูลที่ได้ต่อวันคาดเดายาก จำเป็นต้องมีการวัดสภาพอากาศแบบเรียลไทม์เพื่อความแม่นยำ

Advertisement

การนำดิจิทัลเข้ามาช่วยอย่างเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตออฟธิงส์ (ไอโอที) จะเข้ามาช่วยให้การวัดสภาพอากาศ, ปริมาณน้ำฝน รายงานได้แบบเรียลไทม์ กรมอุตุนิยมวิทยาจึงร่วมกับโครงการแผนบูรณาการน้ำ ในการเป็นผู้เก็บสถิติปริมาณน้ำฝน เพื่อให้รัฐบาลวางแผนการบริหารจัดการน้ำขณะนี้อยู่ระหว่างการเขียนเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้างในการติดตั้งอุปกรณ์วัดปริมาณน้ำฝนแบบไอโอทีมาทดแทนอุปกรณ์เดิมเพื่อติดตั้งยังอำเภอเป้าหมาย 1,100 จุด ภายใต้งบประมาณ 615 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลนี้ยังสามารถส่งต่อไปยังเกษตรกรเพื่อวางแผนในการทำการเกษตร, ผู้ว่าราชการจังหวัดในการวางแผนช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนประชาชนที่ต้องการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้

“เอลนิโญ และลานิญา เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวนจากที่เคยเป็น ร่องมรสุมที่คาดว่าจะเป็นในรูปแบบที่เรียนมา กลับไม่เป็นเช่นนั้น ทำให้ Nowcasting หรือการรายงานสภาพอากาศรายวัน จำเป็นมากขึ้น อุปกรณ์ตรวจจับต่างๆ ต้องเป็นการรายงานแบบเรียลไทม์ ซึ่งการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ไม่ใช่ว่าเราจะเอาคนออก แต่เราต้องปรับบทบาทของเจ้าหน้าที่ เปลี่ยนเป็นผู้บำรุงรักษาอุปกรณ์ที่เก่าแก่ให้ยืดอายุออกไป ดังนั้นคนกรมอุตุนิยมวิทยาไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลกระทบต่องาน” อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาระบุ

⦁หน้าที่สารตั้งต้นข้อมูล สู่หน่วยงานอื่น
“ชมภารี” กล่าวอีกว่า กรมอุตุนิยมวิทยา ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจ เฝ้าระวัง ติดตาม รายงานสภาวะอากาศ และปรากฏการณ์ธรรมชาติ พยากรณ์อากาศและเตือนภัยที่เกิดจากธรรมชาติ ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยาทำต้องส่งไปยังกรมอุตุวิทยาโลก เพื่อให้เอกชนทั่วโลกเข้าถึงข้อมูลและสร้างบริการหรือแอพพลิเคชั่นแก่ประชาชน ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนตั้งคำถามคือ ทำไมต้องมีกรมอุตุในเมื่อดูบริการจากเอกชนได้นั้น จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะกรมอุตุนิยมวิทยาของทุกประเทศต้องทำหน้าที่เก็บข้อมูลของประเทศตนเอง หากไม่มีการเก็บข้อมูลก็ไม่มีสารตั้งต้นให้เอกชนนำมาสร้างแอพพลิเคชั่นที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

ดังนั้น ความสำคัญของกรมอุตุนิยมวิทยา คือ การมีข้อมูลมหาศาลทั้งข้อมูลปัจจุบัน และสถิติย้อนหลังที่พร้อมส่งให้ทุกหน่วยงานรวมถึงประชาชนที่ต้องการใช้ประโยชน์ ซึ่งการพยากรณ์อากาศมีจำนวนตัวแปรเกี่ยวข้องและความซับซ้อนระหว่างตัวแปรการเพิ่มขึ้นของข้อมูลที่ได้จากการรวบรวม และประมวลผลข้อมูล ต้องมีอุปกรณ์ภาคพื้นดิน, การตรวจบนอากาศ, เรดาร์ และดาวเทียม ตลอดจนการดูเมฆฝนประกอบกัน

บิ๊กดาต้าที่สำคัญนี้ทำให้กรมอุตุนิยมวิทยามีโครงการจับมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ในการวางผังเมืองร่วมกับภูเก็ต ซึ่งจำเป็นต้องมีข้อมูลสถิติน้ำ ส่วนเรื่องท่องเที่ยวจะทำงานร่วมกับพัทยา จากนั้นดีป้าจะมีโครงการแฮกกาธอนในการเฟ้นหาสตาร์ตอัพด้วย ซึ่งดีป้าจะมอบโจทย์กรมอุตุนิยมวิทยาให้สตาร์ตอัพคิดเพื่อนำมาใช้ต่อไป ที่ผ่านมากรมอุตุนิยมวิทยายอมรับว่าไม่เก่งเรื่องการสื่อสารสู่ประชาชนให้เข้าใจง่ายและทันสมัย จึงต้องให้สตาร์ตอัพเข้ามาช่วย

⦁จับมือ กสทช.เตือนภัยผ่านมือถือ
“ชมภารี” กล่าวว่า กรมอุตุนิยมวิทยากำลังขยายความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการแจ้งเตือนภัย การพยากรณ์อากาศรายพื้นที่ไปยังประชาชนพื้นที่ต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งต้องให้ กสทช.เป็นตัวกลางในการทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) ในลักษณะ “เซลล์ บรอดแคสต์” เมื่อประชาชนเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ จะได้รับข้อความเตือนภัย ผ่านเอสเอ็มเอส ซึ่งโอเปอเรเตอร์แจ้งว่ามีค่าใช้จ่ายในการลงทุนระบบเพิ่มจึงอยู่ระหว่างการหารือเรื่องงบประมาณร่วมกับกสทช.ภายใต้งบของ กสทช.

“ระบบนี้ มีต่างประเทศใช้แล้ว 19-20 ประเทศ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน เป็นต้น ระบบคล้ายกับโปรโมชั่นเมื่อเราเดินเข้าห้างสรรพสินค้า แล้วได้รับเอสเอ็มเอสโปรโมชั่นเข้าเบอร์มือถือ ตรงนี้จะตอบโจทย์มากกว่าการแจ้งผ่านไลน์กลุ่มเพราะคนจะรู้ข่าวสารต้องเข้าร่วมกลุ่ม มีข้อจำกัด หรือก่อนหน้านี้เรามีแนวคิดให้โอเปอเรเตอร์ส่งเป็นข้อความไปยังมือถือประชาชนเลยโดยเลือกให้ตรงกับพื้นที่ ตรงนี้มีข้อจำกัด เพราะการดึงข้อมูลและส่งผ่านท่อใช้เวลานาน เช่น คนเชียงใหม่มี 10 ล้านเลขหมาย กว่าโอเปอเรเตอร์จะดึงเลขหมายแยกออกมาจากจำนวน 100 ล้านเลขหมาย เขาเคยส่งตั้งแต่เที่ยงวัน ยันเที่ยงคืน ซึ่งไม่ทันต่อเหตุการณ์ หากโครงการนี้เกิดจะต่อยอดไปยังการแจ้งเตือนเรื่องอื่นๆ ได้ด้วย เช่น เรื่องอาชญากรรม การแจ้งคนหาย ไฟไหม้ เป็นต้น” อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาทิ้งท้าย

แม้เป็นองค์กรที่อยู่มานาน ทั้งความเทอะทะ เก่าแก่ น่าจับตาว่า การเขย่าใหญ่ปรับโฉม “กรมอุตุนิยมวิทยา” นี้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่?

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image