‘อาคม’ เชื่อ ศก.ปีนี้อาจโตได้ 3.5% จาก 4 ปัจจัยขับเคลื่อน ต่างชาติยังเชื่อมั่น-การเมืองไม่กระทบลงทุนรัฐ

‘อาคม’ เชื่อ ศก.ปีนี้อาจโตได้ 3.5% จาก 4 ปัจจัยขับเคลื่อน ต่างชาติยังเชื่อมั่น-การเมืองไม่กระทบลงทุนรัฐ

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ ในงาน THAILAND Focus 2022 ว่า มองว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 นั้น ยังมีโอกาสเติบโตได้ถึง 3.5% โดยมี 4 ปัจจัยสนับสนุน ประกอบด้วย 1.การท่องเที่ยว คาดชาวต่างชาติจะเดินทางเข้าไทย 8-10 ล้านคนในปีนี้ คิดเป็น 1 ใน 4 จากช่วงก่อนมีการระบาดโควิด-19 2.การส่งออกไทย ในช่วง 6 เดือนแรก ขยายตัว 12% สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า โดยมีสินค้าเกษตร อาหารเป็นโอกาสสำคัญในการส่งออก ซึ่งปีนี้ทาง สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ตั้งเป้าไว้ที่ 7% แต่ได้ขอให้สรท.ปรับเป้าเป็น 10% ซึ่งสรท.ก็รับปากกับคลังแล้ว 3.ด้านการลงทุน และ 4.การใช้จ่ายภายในประเทศ จะได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐบาล ผ่านคนละครึ่งเฟส 5 เมื่อเริ่มใช้จ่าย ทำให้เศรษฐกิจฐานราก พ่อค้าแม่ขายมีความคึกคักในช่วงปลายปีนี้

นายอาคม กล่าวว่า ขณะที่การลงทุนภาครัฐ ขณะนี้งบประมาณรายจ่ายปี 2566 ได้ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาแล้ว และจะเริ่มใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปีงบ 2566 (ตุลาคม-ธันวาคม 2565) คลังได้สั่งให้ส่วนราชการเร่งรัดผลักดันงบลงทุนในโครงการลงทุนขนาดเล็ก ด้วยการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ให้ลงนามทันเดือนตุลาคมนี้ เพื่อให้เงินกระจายลงสู่ระบบอย่างเร็ว ไม่ไปกระจุกตัวในไตรมาสสุดท้ายเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งตั้งเป้าในไตรมาสแรกปีงบ 66 จะเบิกจ่ายได้มากกว่าปกติ อยู่ที่ 25% ของงบทั้งปี

“ขณะที่กรมบัญชีกลางก็มีการยกเลิกมาตรการดูแลผู้ประกอบการในช่วงวิด ที่ขยายเวลาสัญญาโครงการ และงดเบี้ยปรับเงินเพิ่ม สำหรับโครงการที่ดำเนินการล่าช้า ซึ่งก็จะเป็นส่วนที่สนับสนุนการเบิกจ่าย เพราะหลังจบมาตรการผู้ประกอบการก็คงต้องเร่งงาน และเตรียมตัวรองรับโรงการที่จะเข้ามาในปีงบประมาณ 2566”นายอาคม กล่าว

นายอาคม กล่าวว่า นอกจากนี้ รัฐบาลจะเร่งรัดโครงการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) หลังได้ลงนามสัญญาไปแล้วหลายโครงการ โดยมองว่าขณะนี้เศรษฐกิจ และภูมิภาคอาเซียน ยังมีความเข้มแข็ง และเป็นจุดสนใจน่าลงทุนเมื่อเทียบกับทั่วโลกที่มีความเสี่ยงจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย

นายอาคม กล่าวว่า สำหรับเรื่อง ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของโลก แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากเศรษฐกิจภูมิภาคด้วย เพราะฉะนั้นจะมีการทำ เอฟทีเอทำไม เพราะการทำเอฟทีเอ ช่วยสร้างความสะดวกให้กับ การขับเคลื่อนการค้า โดยการค้าการลงทุนก็มีทั้งในอาเซียน และระดับภูมิภาค ยังสามารถเดินหน้าไปได้

ADVERTISMENT

“แม้ว่าในเศรษฐกิจโลกจะเกิด ภาวะถดถอย แต่ประเทศมหาอำนาจก็คงไม่ยอมให้เกิดแน่นอน เพราะว่าแต่ละประเทศก็ต้องเผชิญความยากลำบาก และมีผลกระต่อประเทศอื่นๆในโลก ดังนั้น สิ่งที่ควร มองคือ ทำอย่างไรให้เกิดความร่วมมมือในระดับภูมิภาค เพื่อสร้างเกราะกำบัง ไม่ให้สิ่งภายนอกมากระทบเรามาก”นายอาคม กล่าว

นายอาคม กล่าวว่า ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมือง จะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้หรือไม่นั้น นายอาคม กล่าวว่า ในเรื่องของการเมืองนั้นมองว่าไม่มีปัญหา เนื่องจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐเป็นเรื่องที่มีข้อผูกพันอยู่แล้ว ส่วนเรื่องเศรษฐกิจนั้น ยังคงเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดการเร่งรัดการลงทุนและการเจริญเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ และมีความต่อเนื่อง เพื่อให้มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ