‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ชี้ปล่อยค่าเงินไหลตามกลไกตลาด ย้ำดูแลใกล้ชิด ไม่ซ้ำรอยปี’40

‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ชี้ปล่อยค่าเงินไหลตามกลไกตลาด ย้ำดูแลใกล้ชิด ไม่ซ้ำรอยปี’40

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 กันยายน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของค่าเงินบาทที่แตะระดับ 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐนั้น ยอมรับว่าเป็นห่วง เนื่องจาก ธปท.ไม่อยากเห็นความผันผวนที่มันสูงเกินไป เร็วเกินไปอย่างผิดปกติ ธปท.ได้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด และมีการเข้าไปดูแลตอนที่มีความผันผวนสูงอย่างผิดปกติ เพราะไม่อยากเห็นเรื่องค่าเงินบาทอ่อนไปกระทบเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ในการดูแลค่าเงินบาทจะไม่ได้ไปฝืนทิศทางตลาด เพราะรู้ดีว่าฝืนตลาดไม่ได้และไม่เหมาะ ปัจจุบันไทยไม่ได้ใช้ระบบกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งไทยมีบทเรียนจากปี 2540 แต่เราเน้นเข้าไปดูแลความผันผวนที่ผิดปกติจนกระทบเศรษฐกิจ เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกบางส่วนไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

ดังนั้น ธปท.จะเข้าไปดูแลทั้ง 2 ทาง แต่ไม่ได้อยากเห็นว่าจะต้องอยู่ระดับใด หรือเท่าไร ซึ่งปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่าตามการเคลื่อนไหวของเงินเหรียญสหรัฐ ดังนั้น เราไม่สามารถทำอะไรกับเงินเหรียญสหรัฐ และไม่ควรทำด้วย

Advertisement

นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า การอ่อนค่าของค่าเงินบาทโดยสาเหตุหลักมาจากเรื่องของโลกที่มาพร้อมกับการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งตรงนี้เป็นตัวหลักที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนลงตามการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐที่ได้ปัจจัยหนุนจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายรุนแรงต่อเนื่อง เศรษฐกิจยุโรปเจอปัญหาขาดแคลนก๊าซ และจีนเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งขึ้น 18% และทำให้สกุลเงินอื่นๆ อ่อนลงตาม รวมถึงไทยอ่อนค่าลง 12% แต่ยังอยู่ในระดับกลางๆ หากเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียและไม่ได้อ่อนผิดปกติเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ดังนั้น การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเป็นไปตามค่าเงินในภูมิภาค

นอกจากนี้ ผลจากการอ่อนค่าส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย โดยรวมส่งผลต่อเงินเฟ้อจากการติดตามอย่างใกล้ชิดดูเหมือนว่าจะยังไม่กระทบมาก ซึ่งทุก 1% ที่ค่าเงินบาทอ่อนลงทำให้เงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นประมาณ 0.06% เป็นภาพที่แตกต่างจากเศรษฐกิจต่างประเทศที่เมื่อค่าเงินอ่อนเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน จากวิกฤตปี 2540 ค่าเงินอ่อนส่งผลให้มีความเป็นห่วงเรื่องหนี้ เพราะมีการกู้ต่างประเทศสูง และมีหนี้ต่างประเทศเยอะส่งผลให้ภาระหนี้สูง จึงเป็นที่มาให้บริษัทปิดตัว ขณะที่ปัจจุบันปัญหานี้เกิดขึ้นในประเทศไทยน้อยมาก เพราะการกู้ยืมเงินที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐ เทียบกับตอนปี 2540 ไม่ได้เยอะมาก รวมถึงผลต่อเสถียรภาพด้านการเงิน เนื่องจากหลายฝ่ายกังวลถึงค่าเงินบาทที่อ่อนลงต่อเนื่อง

Advertisement

นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า จากความกังวลนี้ย้ำว่าเสถียรภาพของไทยด้านของต่างประเทศยังดีอยู่มาก และโอกาสที่จะเกิดวิกฤตเหมือนตอน 2540 น้อยมาก เนื่องจากหนี้ต่างประเทศน้อย และมีทุนสำรองสูง โดยมีเงินอยู่เกิน 3 เท่าของที่ที่มีอยู่ในระยะสั้นเกิน 3 เดือน ดังนั้น มุมมองของเจ้าหนี้ก็มีความสบายใจว่ายังมีเงินจ่ายคืน โอกาสที่เผชิญปัญหาในมิตินี้ยังต่ำ

“สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายของไทยในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นภาพของเงินไหลออก เพราะวันนี้มีต่างชาติซื้อสุทธิอยู่ที่ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้จะไหลออกในบอนด์บ้างเล็กน้อย ดังนั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวจากฝั่งเงินทุนเคลื่อนย้าย” นายเศรษฐพุฒิกล่าว

นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า และอีกด้านที่สะท้อนเสถียรภาพด้านราคา ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดยังไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแต่ก่อนเคยมีนักท่องเที่ยวปีละ 40 ล้านคน และลดลงเหลือ 9 ล้านคนปีนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดต้องลดลง แต่โดยรวมการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดุลปีนี้ราว 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2.8% ของจีดีพี ต่างจากปี 2540 ที่ไทยขาดดุลถึง 8% ของจีดีพี ขณะที่ทุนสำรองของไทยมีถึง 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้น ไม่น่ากังวลต่อเสถียรภาพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image