หอการค้า คาดจีดีพีปี’66 โตลิ่ว 3.5-4% รับท่องเที่ยวบูม-แย้ม ดัชนีเชื่อมั่น ต.ค.ฟื้นต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจปกติหรือก่อนเกิดโควิด และจะขยายตัวได้ 3.5-4% ทำให้เศรษฐกิจที่เคยติดลบในปี 2562-2563 และปี 2564 บวก 1.5% รวมถึงปี 2565 กลับมาเป็นบวกที่ 3.3-3.5% เศรษฐกิจในปีหน้าจะดีขึ้นโดยคาดหวังว่า หากไม่มีสถานการณ์รุนแรงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงกลางปี 2566 ที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นชัดเจนขึ้นในไตรมาส 2/2566
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคยังคงอยู่ในโหมดระมัดระวัง แต่ถ้ามีแรงกระตุ้นจากเอกชนที่เสนอให้รัฐบาลดำเนินการ เช่น มาตรการช้อปดีมีคืน มาตรการส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวด้วยกัน และหากมีมหกรรมบอลโลกและมีโอกาสได้รับความคึกคักในกระแสบอลโลก อาจจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวที่เด่นขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2565
โดยหลังจากสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงเทศกาลลอยกระทงที่มีคนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น มีมูลค่าการใช้จ่ายของประชาชนขยายตัวที่ 6% เชื่อว่าบรรยากาศเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันไม่แพง เหตุการณ์จากเศรษฐกิจโลกยังไม่มีการส่งสัญญาณทรุดตัวอย่างรุนแรง ปัญหาระหว่างสงครามรัสเซีย-ยูเครนไม่ประทุขึ้น ดังนั้น จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีต่อเนื่อง
“หากรัฐดำเนินการดังกล่าว ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ จะช่วยพลิกให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น ความเชื่อมั่นจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2565 เชื่อว่าจะขยายตัวในกรอบ 3.3-3.5% มากกว่าจะโตในกรอบ 3-3.2%” นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า จากผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนตุลาคม 2565 พบว่าดัชนีปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 44.6 เป็น 46.1 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 เป็นต้นมา ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 29.6 เป็น 30.7 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือนนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 เป็นต้นมา และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 51.7 เป็น 53.4 โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 เป็นต้นมา
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ระดับ 40.0 เพิ่มขึ้นจากระดับ 38.6 ในเดือนก่อนหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม อยู่ที่ 43.6 เพิ่มขึ้นจากระดับ 41.9 ในเดือนก่อนหน้า และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 54.8 เพิ่มขึ้นจากระดับ 53.3 ในเดือนก่อนหน้า จากดัชนีปรับตัวดีขึ้นทุกรายการแสดงว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้น มาจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด และเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส 5 เพิ่มกำลังซื้อบัตรคนจน เป็นต้น อีกทั้งเห็นชอบมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 328-354 บาทต่อวัน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 ด้านการส่งออกเดือนกันยายน เพิ่ม 7.83% และการส่งออกรวม 9 เดือน เพิ่ม 10.63% ขณะที่ SET Index เดือนตุลาคม เพิ่ม 19.25 จุด รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อต่างจังหวัดดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังกังวลเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพและราคาสินค้ายังสูง น้ำท่วมที่ส่งผลกระทบในหลายจังหวัด ส่งผลให้ทั้งทรัพย์สินและผลผลิตทางการเกษตร ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2565 เหลือ 3.4% จาก 3.5% ความกังวลต่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังส่งผลต่อราคาน้ำมัน ต้นทุนการผลิตสินค้า และความวิตกต่อโควิดที่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก