เจ้าสัวธนินท์ โชว์วิชั่นสร้าง ‘ผู้นำเครือซีพี’ แนะปรับระบบการศึกษาภาคธุรกิจจบป.ตรีไม่เกิน 18 ปี

“เจ้าสัวธนินท์” โชว์วิสัยทัศน์สร้าง “ผู้นำเครือซีพี” แนะปรับระบบการศึกษาภาคธุรกิจจบป.ตรีไม่เกิน 18 ปี

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ณ สถาบันผู้นำ เครือเจริญโภคภัณฑ์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้เข้าร่วมประชุม FWE 2022 หรือ Forum for World Education (FWE) จัดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศไทย

โดยนายธนินท์กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “การศึกษา กับความท้าทายและโอกาสสู่โลกยุคใหม่” หรือ “Challenge & Opportunities for the New Chapter of Education” ว่า ประเทศที่จะเจริญรุ่งเรืองได้เท่าไหร่อยู่ที่การศึกษา คือ คนที่สร้างทุกอย่าง ทำทุกอย่าง ผมจะขอพูดถึงเครือซีพีที่ได้สร้างสถาบันผู้นำขึ้นมาได้ 3 ปีแล้ว มีไปดูงานหลายบริษัท เช่น ซัมซุง จีอี โบอิ้ง ในการสร้างผู้บริหาร

“ประสบการณ์ของผมที่ประสบมาด้วยตัวเอง เรียกว่าเถ้าแก่ คือ ต้องรู้ทุกเรื่อง แต่เมื่อรู้ทุกเรื่อง คนซื้อตัวไปและมาแข่งกัน ซึ่งซีพีไม่กลัว เราสร้างคำว่าเถ้าแก่ เป็นคำพูดเก่า มาใช้กับยุคใหม่ ให้เขารู้ทุกเรื่อง สอนเขาตั้งแต่การเงิน บัญชี กำไร ขาดทุน บุคคล ประชาสัมพันธ์ คนเขาถามผมว่า เราไม่กลัวเหรอ ผมบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าเขาไปแล้ว มีอนาคตดีกว่าอยู่ที่ซีพี เราต้องดีใจ เท่ากับเราสร้างคนให้กับสังคม”นายธนินท์กล่าว

นายธนินท์กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือมนุษย์ เพราะทุกอย่างนี้ต้องมาจากคน ค้นคว้าวิจัย เปลี่ยนแปลงพัฒนาทุกเรื่อง ความคิด สร้างอิเล็คทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์หรืออะไรก็ตาม ล้วนมาจากคน เสร็จแล้วต้องมีคนคิด มีคนทำ มีคนใช้ ถ้าสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาแล้วไม่มีคนใช้ หุ่นยนต์ก็ไม่มีวิญญาณ เรามีข้อมูล มีอะไรที่ดี ต้องมีคนมาวิเคราะห์ สร้างซอฟต์แวร์หรือเอไอมาวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ สุดท้ายหนีไม่พ้นคนจะคนคิด คนทำ คนใช้

Advertisement

นายธนินท์กล่าวว่า สำหรับเครือซีพีมีค่านิยม 6 ประการ 1.ทำอะไรต้อง 3 ประโยชน์ คือประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประโยชน์ต่อประชาชน และประโยชน์ต่อบริษัท 2.มีนวัตกรรมใหม่ๆ 3.ต้องมีคุณภาพ ไม่ใช่ว่าเร็วแล้วไม่มีคุณภาพ 4. ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง 5. ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ซีพีที่สำเร็จต้องหาเรื่องยากที่สุดมาทำ เมื่อเข้าไปทำแล้วต้องทำเรื่องที่ยากให้มันง่าย ไม่ใช้ยากตลอดไป แบบนี้ก็ไม่สำเร็จ ยุคสมัยนี้ทำของยากให้เป็นของง่าย 6. ต้องเป็นคนกตัญญู เป็นคนดี เก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ รักพี่น้อง รักบริษัทและรักพนักงาน

“เรื่อง 3 ประโยชน์ ไม่ว่าอยู่ประเทศไหนต้องตอบแทนบุญคุณประเทศนั้น เครือซีพีเติบโตจากประเทศไทยต้องตอบแทนประเทศไทย คนไม่รู้จักบุญคุณเป็นผู้นำไม่ได้ เห็นแก่ตัวถ้าให้เป็นผู้นำบริษัทหมดตัวแน่นอน การคัดคนสำคัญมาก ต้องกตัญญูเป็นอันดับแรก อันดับสองต้องขยัน หมั่นเพียร ความอดทน ความเสียสละ รู้จักเสียเปรียบ รู้จักให้ ต้องมีสิ่งเหล่านี้ สุดท้ายค่อยมาเก่ง เพราะเก่งแล้วเห็นแก่ตัวก็ไม่มีประโยชน์กับเครือซีพี ไม่เหมาะจะเป็นผู้นำ” ประธานอาวุโสเครือซีพีขยายความ

Advertisement

“เราสร้างผู้นำให้เขารู้ทุกอย่าง วิธียุคสมัยใหม่ ผมเข้าใจอย่างดีเพราะเคยเป็นเถ้าแก่มา วันนี้ที่สร้างผู้นำ เราให้อำนาจหน้าที่ เวทีเหมือนสตาร์ทอัพ แต่เราพิเศษกว่า มีเงินให้ ขาดทุนไม่เป็นไร ไม่กลัวขาดทุน แต่กลัวขาดทุนแล้วไม่รู้ว่าทำไม่ถึงขาดทุน ขาดทุน 1 หมื่นบาท ถ้าเขารู้ มีโอกาสทำกำไรคืนมา 1 ล้านบาท แสนล้านบาท ต้องให้เขาลองถูก ลองผิด จะสร้างคนรุ่นใหม่ต้องให้อำนาจเขา ให้เขาทำผิดได้ แต่อย่าผิดซ้ำ ไม่มีใครทำอะไรไม่ผิด หลักการคือไม่ต้องกลัวผิด แต่ถ้าผิดแล้วผิดอีกให้อภัยไม่ได้ แสดงว่าไม่เข้าใจ ให้เป็นผู้นำบริษัทหมดตัวแน่” นายธนินท์กล่าว

นายธนินท์กล่าว่า ผู้นำของเครือ เราต้องเป็นสปอนเซอร์เขา ให้การสนับสนุน ให้ความรู้ ช่วยแก้ปัญหา แต่ห้ามไปสั่งการ เรื่องใหม่ให้คนใหม่ทำ ผมบอกทุกครั้งว่า ไม่ต้องกลัวทำผิด ผิดคือครู สำคัญที่สุด คือ วัฒนธรรมครอบครัว ถ้าไม่รักครอบครัว ไม่รักพี่น้อง แล้วจะรักบริษัทได้อย่างไร เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่

“ด้านการศึกษา เรื่องอื่นผมไม่รู้ ถ้าเรื่องธุรกิจผมคิดว่าเด็กสมัยนี้ ฉลาดกว่าในสมัย 50-60 ปีก่อน ประเทศไทยมีผู้นำอายุ 30 ต้นๆ ก็เป็นผู้นำสูงสุดแล้ว สมัยนั้นจอมพลสฤษดิ์ อายุ 40 ปีกว่า ก็เป็นผู้นำประเทศ แต่ยิ่งนานก็ยิ่งช้า กว่าจะเป็นผู้นำได้ต้องอายุเกิน 40 ปี 50 ปี 60 ปี ตอนนี้เรามีผู้ว่าอายุ 40 ปีกว่าเป็นผู้ว่าฯประวัติศาสตร์ในยุคใหม่ คิดว่ายุคใหม่ยิ่งต้องเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่ขึ้นมาเป็นผู้นำได้เร็วที่สุด การศึกษาบางสาขาอายุ 18 ปี ต้องจบมหาวิทยาลัยแล้ว จากประสบการณ์ที่ผมประสบมา เด็กอายุ 18 ปี ขึ้นมามีพลังมหาศาล จะให้เรียนอีก 4 ปี แต่วันนี้คนยังขาดแคลน ทำไมไม่ให้เด็กอายุ 18 ปีจบมหาวิทยาลัยได้แล้ว ไม่ต้องถึงอายุ 22 ปี จะทำให้มีพลังจากคนรุ่นใหม่อีกมาก ยิ่งสู่ยุคสังคมสูงวัย ยิ่งต้องสร้างคนให้ทำงานให้เร็วที่สุด” นายธนินท์กล่าว

นายธนินท์กล่าวย้ำว่า การเรียนอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำด้วย เพราะการทำสำคัญกว่าปัญญา และปริญญา ซึ่งปัญญายากต้องทำ ปริญญาเรียนจบ ใครความจำเก่ง ขยันเรียน ก็ได้ปริญญา แต่ปัญญา ต้องอดทน กระทำได้สำเร็จ ล้มเหลว เรียนรู้ นั้นคือปัญญา ซึ่งไม่ได้ง่าย ปริญญาจะเรียนจบอะไรก็ได้ ถ้าความจำเก่ง ความจำดี ขยันหมั่นเพียร ส่วนการทำ ทำให้เราได้เรียนรู้เร็วขึ้น โดยเฉพาะต้องกล้าให้ทำถูก ทำผิด ให้อำนาจ ให้เวที ให้การสนับสนุนเขา ห้ามชี้นำ ชี้แนะได้ ต้องมีเงินให้ไปลองถูก ลองผิด จะได้ผลมาก ถ้าไม่ได้ผล คือ คัดคนผิด ในยุคสมัยใหม่ต้องให้ขั้นตอนต่างๆแบนลง สำคัญที่สุดต้องใช้ซอฟต์แวร์มาติดตาม ต้องรู้ว่าเขาทำกำไรขาดทุนทุกวัน ไม่ใช่ดู 1 ไตรมาสหรือ1 เดือน และทุกเดือนต้องให้คะแนน ขึ้นเงินเดือนทุก 3 เดือน ถ้าไม่ผ่านให้ออก ถ้าผ่านขึ้นตำแหน่ง เงินเดือน ทำแล้วไม่ดี ถอยได้ ยุคสมัยนี้ต้องเร็วและมีคุณภาพ

“สุดท้ายผมอยากเน้นว่า ในชีวิตผม ผมไม่เคยฉลอง ไม่ว่าจะทำงานสำเร็จ เพราะถือว่าผมดีใจได้วันเดียว ทำงานยิ่งใหญ่ ยิ่งมีอุปสรรคเยอะ ประสบการณ์ในชีวิตผม ทำงานเล็กสำเร็จ อุปสรรคก็เล็ก ทำงานใหญ่สำเร็จ อุปสรรรก็ยิ่งใหญ่ บางอุปสรรคมันไปเกี่ยวข้องกับการเงินระดับโลก ต่างประเทศ หรือใหญ่ไปหรือบางคนก็ว่ามีผูกขาด ก็มีปัญหาเรื่องการเมือง ทั้งนี้ผมเชื่อมั่นมากว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด โดยเฉพะคน วันนี้ผมพูดไปในเรื่องที่ผมไม่มีการศึกษาสูง พูดด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา” ประธานอาวุโสเครือซีพีกล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image