“กูรูหุ้น”ฟันธงปีหน้าค่าบาทมีเสถียรภาพหนุนหุ้นไทย-คาดกำไรบจ.ทะลุ9.5แสนล.-ส่วนทองขาลง

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส จำกัด กล่าวในงานสัมมนา “มหกรรมวิเคราะห์การลงทุน Riding the Tide of Change : Trends and Straregies into 2017 ปรับพอร์ตเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ&การเมืองโลก และไทยในปี 2017” จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นพฤศจิกายนที่ผ่านมามีผลต่อทั้งตลาดทุนและตลาดเงินอย่างมาก ทุกภาคธุรกิจ การลงทุน และทุกคนจะมุ่งความสนใจไปยังสหรัฐในปีหน้า ส่วนนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งพื้นฐานเป็นคนตัดสินใจเร็วและมีความไม่แน่นอนสูง นั้นยังบอกไม่ได้ว่าจะกระทบภาคอุตสากรรมไหนมากน้อยเพียงใด ส่วนปีหน้าตลาดจะปั่นป่วนแบบไม่ธรรมดาในทุกกลุ่มสินทรัพย์ (Asset Class) ทำให้มีสีสันจากไม่แน่นอน แต่ละสินทรัพย์จะแกว่งขึ้นลงต่างกันรวมถึงตลาดหุ้นด้วย

“หากนายทรัมป์ใช้นโยบายคลังอัดฉีดแรงเศรษฐกิจใน 2-3 ปีข้างหน้าอาจจะเติบโตเกินที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คาดการณ์ ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ส่งผลทางบวกต่อตลาดหุ้น แต่ตลาดตราสารหนี้จะเป็นขาลง ส่วนตลาดประเทศอื่นก็แตกต่างกันไป ต้องวิเคราะห์เศรษฐกิจเป็นรายประเทศ”นายประภาสกล่าว

นายประภาสกล่าวว่า สำหรับประเทศไทยคาดว่าตลาดจะเคลื่อนไหวผันผวนแบบขาขึ้น ในกรอบ 1,400-1,800 จุด ที่อัตราราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น(พีอี) 14 เท่า โดยมองว่าค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากกว่าภูมิภาค จากปัจจัยทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลเงินบาทแข็งค่าระยะยาว เมื่อเงินบาทแข็งค่าในอนาคตจะส่งผลการเทขายของต่างชาติน้อยกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ดังนั้น ตลาดทุนจะได้ประโยชน์เพราะชอบค่าเงินบาทแข็งค่าและทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับกำไรบริษัทจดทะเบียนในไทยปีนี้ น่าจะทำกำไรสุงสุดเป็นวัติการณ์ประมาณ 8 แสนล้านบาท และคาดว่าปีหน้ากำไรตลาดหุ้นน่าทะลุ 9.5 แสนล้านบาท จากผลการขับเคลื่อนผลประกอบการอย่างมีเสถียรภาพกว่าตลาดอื่น

นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทในเครือ เอ็มทีเอสโกลด์ แม่ทองสุก กล่าวว่า ราคาทองคำปีหน้ามีโอกาสปรับขึ้นน้อย และน่าจะลงได้อีก จากการแข็งค่าขึ้นดอลลาร์สหรัฐฯ และการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม 2559 คาดปีหน้าราคาทองคำอยู่ในกรอบ 1,000 -1,360 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดนั้น คาดจะส่งผลต่อราคาทองคำให้ลงต่อไปอีก ส่วนจะลงมากน้อยแค่ไหนต้องมาติดตามหลังผลการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งในวันที่ 23 พฤศจิกายนราคาทองคำอยู่ที่ 1,210 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนปี 2558 ในช่วงเฟดขึ้นดอกเบี้ยเมื่อธันวาคมราคาทองคำลดลงมาอยู่ที่ 1,046 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

Advertisement

น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานตลาดเงินและตลาดทุน ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ไทย กล่าวว่า ในปีหน้าสหรัฐฯ ใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ ปรับสมดุลการเงิน จะปรับการขึ้นต้นทุนทางการเงินในสหรัฐ ซึ่งจะกำหนดจุดต่ำสุดให้กับนโยบายการเงินในภูมิภาคอื่นๆ ด้วย ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นและยูโรปอาจชะลอหรือไม่ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน(คิวอี) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไป ในกรณีเลวร้ายหากสหรัฐมีมาตรการที่สร้างผลกระทบกับประเทศจีน ประเมินว่าทางรัฐบาลจีนจะทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าเพื่อลดผลกระทบ และอนาคตจะเห็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่อเอเชียในทางบวก ทำให้การค้า ลงทุนเข้มแข็งระหว่างกันมากขึ้น ส่งผลเชิงบวกต่ออาเซียน ส่วนนโยบายการค้าของนายทรัมป์กระทบเอเชียค่อนข้างน้อย โดยประเทศไทยเป็นอันดับต้นๆ ที่ต่างประเทศให้ความสนใจ เพราะเศรษฐกิจจะดีขึ้นจากการบริโภคที่เริ่มฟื้นตัว หนี้รถคันแรกลดลง อีกทั้งไทยเน้นนโยบายการคลังเป็นหลัก ซึ่งต่างชาติจะให้ความสนใจกับประเทศที่เน้นโยบายการคลัง ส่วนตลาดเงินตลาดทุนนั้นส่วนตัวมองว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าน้อยกว่าภูมิภาค จากพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้เงินไหลออกค่อนข้างยาก โอกาสนักลงทุนต่างประเทศจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจะมีน้อยกว่าซึ่งปัจจัยนี้จะส่งผลทางบวกต่อตลาดหุ้นไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image