เงินบาทเปิด 34.48 ผันผวนอ่อนค่า ตลาดคาดเฟดเดินหน้าขึ้นดอกในอัตราชะลอลง
เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.84 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 34.79 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 9 ธันวาคม) โดยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 34.50-35.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.75-34.95 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
“สัปดาห์นี้ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐ รวมถึงผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เดือนธันวาคม นอกจากนี้ ควรติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี)” นายพูนกล่าว
นายพูนกล่าวว่า ตลาดมองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนอาจชะลอลงสู่ระดับ 7.3% ตามการปรับตัวลงของราคาพลังงาน ปัญหาซัพพลายเชนที่คลี่คลายลงมาก รวมถึงการลดราคาสินค้าของผู้ประกอบการเพื่อบริหารสินค้าคงคลัง อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจชะลอลงไม่มากนัก สู่ระดับ 6.1% หนุนโดยการใช้จ่ายของคนอเมริกันที่ยังดีอยู่ สอดคล้องกับภาพตลาดแรงงานสหรัฐที่ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว
อย่างไรก็ตาม คาดว่าแม้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐอาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและมีแนวโน้มชะลอลง แต่แรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่จะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่ในอัตราชะลอลง 0.50% จาก 0.75% สู่ระดับ 4.25%-4.50%
นายพูนกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทประเมินว่าเงินบาทมีโอกาสผันผวนฝั่งอ่อนค่าได้ และควรระวังแรงขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้น สัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 5 พันล้านบาท นอกจากนี้ หากราคาทองคำย่อตัวลง ซึ่งอาจเป็นการพักฐานเพื่อปรับตัวขึ้นต่อก็อาจมีโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน
ในส่วนเงินเหรียญสหรัฐนั้น มองว่าควรระวังความกังวลแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐและการขึ้นดอกเบี้ยเฟด หนุนให้เงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่เงินเฟ้อสหรัฐไม่ได้ชะลอลงมาก และเฟดส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ระดับ 5.25% อนึ่ง หากอีซีบีและบีโออีย้ำจุดยืนเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องก็อาจช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐได้บ้าง
“สัปดาห์ที่ผ่านมาความกังวลแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและความกังวลแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ในฝั่งเศรษฐกิจหลัก กดดันให้ตลาดพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยง” นายพูนกล่าว
