“บิ๊กสหพัฒน์-ธุรกิจ” ถามค่าแรง 600 บูสต์ศก.โตแค่ไหน แนะพรรคการเมืองคิดนโยบายที่เป็นไปได้ ติงใช้ “ค่าแรง” หาเสียงแบบให้ความหวังปชช. สุดท้ายทำไม่ได้
เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงนโยบายพรรคเพื่อไทยปรับค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทในปี2570ว่า ผมไม่เห็นด้วยจะนำมาใช้โฆษณาหาเสียงล่วงหน้า เป็นการพยายามสร้างความรู้สึกเพื่อให้ประชาชนสนใจ และทำให้คนมีความหวัง ทั้งที่จะขึ้นจริงๆไม่ใช่หลังเลือกตั้ง แต่ภายในปี 2570 ยังไม่รู้จะทำได้หรือไม่ได้ อย่างไรก็ตามจากค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ทำให้แรงงานตื่นตัว และอยากได้ จะทำให้เกิดกระแสเรียกร้องขึ้นมาได้
“บิ๊กสหพัฒน์”หวั่นขึ้นค่าแรงนักลงทุนหนี
“การขึ้นค่าแรงต้องดูสภาวะแวดล้อม ขึ้นได้แต่ไม่ควรจะขึ้นเยอะ ขึ้นตามความเหมาะสม และมองให้รอบด้าน และดูเพื่อนบ้านเราด้วย ที่ผ่านมามีพรรคการเมืองหาเสียงค่าแรงไว้ 425 บาทต่อวัน แต่ก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน ไม่ว่าการเมืองพรรคไหนๆก็ใช้ค่าแรงขั้นต่ำหาเสียง ทำให้ประชาชนมีความหวัง เพราะแรงงานมีความสำคัญต่อประเทศ ประชาชนเดือดร้อน ของแพง แต่เราก็ต้องอดทนบ้าง เพราะค่าแรงสูงเกินไป นักลงทุนจะหนีไปหมด ตอนนี้เวียดนามค่าแรงถูกกว่าเรา เคยเกิดขึ้นแล้ว หลังเราขึ้นค่าแรงจาก 200 กว่าบาท เป็น 300 บาท ทำให้นักลงทุนหนีไปจีน เวียดนาม ส่งผลต่อเศรษฐกิจไม่ขยายตัว ปัจจุบันที่เราอยู่ได้เพราะนำเข้าแรงงานต่างด้าวที่รับค่าแรงขั้นต่ำเท่ากับคนไทย ”นายบุญชัยกล่าว
นายบุญชัยกล่าวว่า อยากให้พรรคการเมืองมุ่งแก้ปัญหาลดค่าครองชีพของประชาชนมากกว่าการขึ้นค่าแรง เช่น ลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง เป็นต้น ขอให้ใจเย็นๆ ออกนโยบายอะไร อย่าคิดแต่หาเสียง ทำให้ประชาชนมีความหวัง ต้องคิดถึงภาพรวมของประเทศชาติด้วย ซึ่งการขึ้นค่าแรง ไม่ใช่ขึ้นเฉพาะค่าแรงขั้นต่ำ แต่เป็นการขึ้นเงินเดือนทั้งระบบ ถ้าขึ้นแบบไม่มีเหตุผลจะกระทบต่อภาคธุรกิจ ไม่ใช่กระทบแค่การผลิต ยังกระทบการบริหารด้วย เป็นงูกินหาง ขณะที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
“อสังหาฯ” ถามค่าแรง 600 บูสต์ศก.โตแค่ไหน
นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 354 บาทต่อวัน เป็น 600 บาทต่อวันในปี 2570 นับว่าเป็นอัตราค่อนข้างสูงและเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจ เพราะขึ้นมา 250 บาทหรือประมาณ 80% ขณะเดียวกันยังมองภาพไม่ออกว่า เมื่อขึ้นค่าแรงแล้วจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เท่าไหร่ใน 5 ปี ถ้าหากสามารถบอกได้ว่าถ้าขึ้นค่าแรงแล้ว 80% จะบูสต์เศรษฐกิจได้ 60-100% หรือจีดีพีโตเท่าตัว จากปัจจุบัน 3-4% เป็น 7-10% ภายใน 5 ปี ก็เห็นด้วยที่ขึ้นค่าแรง
“ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายหาเสียงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพราะภาพยังไม่ชัด ซึ่งการขึ้นค่าแรงนั้น เงินที่จ่ายออกไปเป็นของภาคธุรกิจ แต่คะแนนเสียงเป็นของพรรคการเมือง กลัวว่าจะเกิดการย้ายฐานหนีซ้ำรอยช่วงปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท”นางอาภากล่าว
นางอาภากล่าวว่า ทั้งนี้การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในส่วนขออุตสาหกรรมขนาดใหญ่สามารถจ่ายแพงได้ เพราะจะผลักภาระต้นทุนไปยังราคาสินค้า แต่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก การขึ้นค่าแรงจากปีละ 5-10 บาท เป็นปีละ 50 บาททุกปี จะอยู่ลำบาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้ายังใช้แรงงานคนอยู่มาก ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบแน่นอน และคงต้องปรับราคาขึ้นตาม
นางอาภากล่าวว่า สำหรับเรื่องการปรับเงินเดือนระดับปริญญาตรีจาก 15,000 บาท เป็น 25,000 บาท ไม่ใช่แค่พนักงานเอกชน ยังรวมถึงข้าราชการด้วย ดังนั้นนโยบายนี้จะส่งผลต่อภาระงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งต้องจัดสรรงบประมาณแต่ละปีมาจ่ายเงินเดือนให้กับข้าราชการ
นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า เป็นเรื่องของนโยบายของการหาเสียง จริงๆแล้วพรรคการเมืองไม่ว่าจะพรรคไหนก็มีโอกาสบริหารประเทศ ดังนั้นการคิดนโยบายไม่ใช่แค่เป็นการหาเสียงอย่างเดียวเพื่อให้ชนะการเลือกตั้งอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายที่เมื่อขับเคลื่อนออกไปแล้วต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาด้วย ถ้าเศรษฐกิจแก้ง่ายด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทำไมไม่ขึ้นเป็น 1,000 บาท/วันไปเลย ซึ่งค่าแรงหากปรับขึ้นสูงมากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่ไม่ได้แน่นอน
“แม้จะขึ้นค่าแรง 600 บาท/วัน ทีละสเต็ปก็ยังสูงอยู่ดี และจะส่งผลให้ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะราคาสินค้าจะปรับขึ้นตามค่าแรง ดังนั้นการจะออกนโยบายต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาทางเศรษฐกิจจริงๆด้วย ทั้งนี้การขึ้นค่าแรงต้องขึ้นอยู่กับเกณฑ์คุณวุฒิและวิชาชีพ เพื่อจะได้มีการพัฒนาฝีมือไปด้วย ต่อให้ได้ค่าแรงเท่าไรก็แล้วแต่ ต้องมีการปรับตัว อย่างไรก็ตามมีหลายนโยบายของพรรคการเมืองที่ทำไม่ได้ก็มี”นายอิสระกล่าว
ธุรกิจร้านอาหารชี้ขึ้นค่าแรงต้องสมดุล
นางชาตยา สุพรรณพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เจ้าของร้านอาหารแบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า ,ฌานา และเรดซัน กล่าวว่า นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่แต่ละพรรคการเมืองเตรียมหาเสียงเลือกตั้งนั้น ยังไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตามในมุมของผู้ประกอบการอยากให้หาจุดสมดุลระหว่างพนักงานกับผู้ประกอบการ โดยให้พนักงานมีรายได้เพียงพอกับภาวะเงินเฟ้อและผู้ประกอบก็สามารถดำเนินธุรกิจต่อไป มีการจ้างงานและขยายธุรกิจ
นางชาตยากล่าวว่า ทั้งนี้การปรับขึ้นค่าแรงต้องให้บาลานซ์กันใน 2 เรื่อง 1.เม็ดเงิน และ2.ระยะเวลาการปรับขึ้น ซึ่งต้องวางแผนเป็นอย่างดี เนื่องจากเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว รวมถึงต้องดูด้วยว่าอีก 5 ปีข้างหน้าภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตแค่ไหน ทั้งภาคการผลิต การส่งออก การบริโภค เพราะทุกอย่างก็ต้องเติบโตไปด้วยกันไป ทั้งค่าแรง ธุรกิจแต่ละเซกเมนต์และจีดีพีของประเทศ ซึ่งในส่วนของบริษัทจะนำเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเข้าที่ประชุมผู้บริหารของบริษัทในเร็วๆนี้ เพื่อทำเป็นเซเลริโอถึงผลผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
แนะยืดปรับจาก 5 ปี เป็น 8-10 ปี
นายนพดล นฤตรรกกุล กรรมการบริหาร วอเตอร์ไลบรารี ฮอสพิทอลิตี้ กรุ๊ป เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร กล่าวว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารอย่างหนักและต้องมีการบริการต้นทุนกันอีกมาก เพื่อให้สอดรับกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในมุมมองของผู้ประกอบการก็ต้องการจะได้ต้นทุนที่ถูถสุด แต่เข้าใจว่าภาวะเงินเฟ้อก็สูง
“ถามว่าเห็นด้วยไหมกับค่าแรง 600 บาทต่อวัน ก็เห็นด้วยครึ่งหนึ่ง เพราะโดยธรรมชาติยังไงค่าแรงก็ต้องขึ้นอยู่แล้ว เพราะเงินมันเฟ้อทุกปี แต่การปรับขึ้นค่าแรงก็ต้องให้เราในฐานะผู้ประกอบการและพนักงานอยู่ได้ด้วย โดยอยากจะเสนอให้มีการขึ้นแบบค่อยไปค่อยไปและยืดระยะเวลาออกไปจากภายใน 5 ปี เป็น 8-10 ปีได้ไหม ซึ่งค่าแรง 600 บาทน่ากลัวมาก เพราะจะกลายเป็นว่าของทุกอย่างราคาขึ้นมา 1 เท่า ถ้าไม่ปรับราคาธุรกิจก็อยู่ไม่ได้ การที่จะออกนโยบายก็ต้องให้เกิดความสมดุลระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง ให้เขาอยู่ได้ เราอยู่ได้ ซึ่งธุรกิจร้านอาหารเพิ่งจะฟื้นตัวจากโควิด และที่ผ่านมาต้นทุนก็ปรับตัวสูงขึ้นมาก”นายนพดล
