| ผู้เขียน | ปิยะวรรณ ผลเจริญ |
|---|
จอดป้ายประชาชื่น : ค่าไฟเอกชนแพงกว่าชาวบ้าน?
ปั่นป่วนไม่ใช่น้อย หลังสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศ ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ใหม่ งวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ บ้านที่อยู่อาศัย เอฟที 93.43 สตางค์ต่อหน่วย รวมค่าไฟจ่ายจริง 4.72 บาทต่อหน่วย และผู้ใช้ประเภทอื่นๆ คงเอฟที 190.44 สตางค์ต่อหน่วย รวมค่าไฟจ่ายจริง 5.69 บาทต่อหน่วย
เป็นการคำนวณใหม่ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ย้อนสาเหตุที่ต้องคำนวณใหม่ เพราะก่อนหน้านั้น กกพ.ได้คำนวณค่าไฟออกมาเป็น 3 ทางเลือก จ่ายเท่ากันทั่วประเทศ ระดับ 5.37-6.03 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบัน 4.72 บาทต่อหน่วย เพื่อทยอยคืนหนี้ กฟผ. 1.22 แสนล้านบาท
แต่ราคานี้ท่ามกลางสถานการณ์ราคาพลังงานสูง ค่าครองชีพสูง เศรษฐกิจฐานรากยังง่อนแง่น รัฐบาลโดย กพช.จึงตัดสินใจช่วยคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศก่อน สั่งจัดสรรก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยหลังโรงแยกก๊าซไปใช้ผลิตไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยเป็นลำดับแรก ควบคู่ขอเงินจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 6,000 ล้านบาท มาอุดหนุนค่าไฟ ขณะเดียวกันได้ทำโครงการ Demand Response เพื่อให้ผู้ใช้ไฟรายใหญ่และภาคอุตสาหกรรมได้ส่วนลดค่าเอฟที
ทันทีที่ กกพ.ประกาศค่าไฟคำนวณใหม่ แน่นอนกลุ่มผู้ใช้ประเภทอื่น โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมได้เรียกร้องให้ทบทวนมติ และยังส่งสัญญาณขึ้นราคาสินค้า
นอกจากนี้ ยังเกิดเสียงวิจารณ์รัฐบาลว่าแทรกแซง ปตท. เรื่องนี้ในมุมกลับกัน ปตท.ปฏิเสธบทบาทการเป็นเครื่องมือกลไกสนับสนุนด้านพลังงานให้กับรัฐบาลไม่ได้ แต่เหตุและผลตลอดจนข้อกฎหมายต้องสอดรับกันและกันด้วย เพื่อให้ ปตท.เติบโตต่อไป
จากเสียงร้องทั่วสารทิศ ก่อนถึงวันที่ 1 มกราคม 2566 น่าติดตามว่าจะมีการเขย่าตัวเลขผู้ใช้ประเภทอื่นๆ อีกหรือไม่
แต่หากดูจากสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ด้วยต้นทุนเชื้อเพลิงสูงพร้อมผันผวนตลอดเวลา ไม่แปลกใจเลยที่รัฐบาลจะมุ่งช่วยกลุ่มเปราะบาง ประชาชนทั่วไปก่อน และให้ผู้ใช้ไฟรายใหญ่และอุตสาหกรรมรับภาระมากกว่า เนื่องจากในยามที่ประเทศเดือดร้อน การจะผ่านวิกฤตได้ การร่วมมือกันของทุกฝ่ายจำเป็นที่สุด
ส่วนประชาชนเอง เมื่อได้รับค่าไฟที่ถูกที่สุดแล้วก็ควรร่วมมือกันประหยัดพลังงานแบบจริงจัง เพื่อลดนำเข้าเชื้อเพลิงราคาแพงอย่างแอลเอ็นจี จะส่งผลให้ค่าไฟขึ้นช้าลง เพื่อตอบแทนผู้ใช้กลุ่มอื่นๆ ที่กำลังรับภาระแทนไม่มากก็น้อย
