ปัจจัยท่วม ‘ตลาดทุน-หุ้นไทย’ ‘ผลตอบแทน’ เด้งรับ ‘จีนปลดล็อก’

ปัจจัยท่วม ‘ตลาดทุน-หุ้นไทย’ ‘ผลตอบแทน’ เด้งรับ ‘จีนปลดล็อก’

ข่าวดีต้อนรับปี 2566 ตอนนี้คงไม่เกินการกลับมาเปิดประเทศแดนมังกรยักษ์ใหญ่อย่างจีน ที่เริ่มปลดล็อกไม่มีการกักตัว ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้เห็นการเดินทางออกท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนมากขึ้น โดยการเปิดประเทศที่รวดเร็วกว่าคาดการณ์ ถือเป็นการเขย่าภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก ที่เดิมไม่ได้หวังเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจได้มากนักตั้งแต่ต้นปี จากนั้นไม่นาน รัฐบาลจีนกลับลำประกาศปลดล็อกมาตรการเข้มทั้งหมด ทั้งอนุญาตให้บริษัททัวร์สามารถกลับมาให้บริการการท่องเที่ยวแบบกลุ่ม หรือจัดกรุ๊ปทัวร์ไปต่างประเทศได้ กำหนด 20 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย กัมพูชา มัลดีฟส์ ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ เคนยา แอฟริกาใต้ รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ ฮังการี นิวซีแลนด์ ฟิจิ คิวบา และอาร์เจนตินา โดยให้เริ่มเที่ยวแบบจัดทัวร์ประเดิมล็อตแรกวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้

สำหรับประเทศไทย ถือเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวชาวจีน สะท้อนตัวเลขไทยยังครองอันดับ 1 ประเทศยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2566 จากการรายงานของ Trip.com (Ctrip) แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของจีน ระบุว่า ภาพรวมยอดการจองการเดินทาง (Overall Travel Bookings) ของนักท่องเที่ยวชาวจีนไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน ขยายตัวแรงถึง 1,026% และยอดการจองบัตรโดยสารเครื่องบินจากจีนไปยังในภูมิภาคอาเซียน ขยายตัว864% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยประเทศปลายทางยอดนิยมในภูมิภาคอาเซียน 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวจีนช่วงวันหยุดตรุษจีนปีนี้ เริ่มอันดับแรกที่ประเทศไทย ตามด้วยสิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา และอินโดนีเซีย

⦁ท่องเที่ยวตัวแปร ‘ตลาดเก็งกำไร’
แน่นอนภาคท่องเที่ยวได้รับอานิสงส์เต็มๆ แล้วธุรกิจอะไรอีกที่จะรับผลพวงไปด้วย!!

Advertisement

สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ประเมินภาพปี 2566 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนไทยจะมากกว่าคาดการณ์ไว้ จากความต้องการท่องเที่ยวไทยที่ยังมีอยู่มาก บวกกับอานิสงส์จากการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ของจีนที่เร็วกว่าคาด ทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคนในปี 2566 ส่งผลดีต่อธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว อาทิ โรงแรม สายการบิน บริษัททัวร์รถเช่า สปา และเวลเนส การแพทย์ รวมถึงเอื้อให้การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติขยายตัวมากขึ้น โดยการท่องเที่ยวในประเทศสามารถเติบโตดีกลับไปใกล้ระดับก่อนเกิดโควิด ทำให้การบริโภคขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกสินค้าของไทยปี 2566 มีแนวโน้มไม่สดใสนักตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น และอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าใหม่ของประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ ยุโรป และอินเดีย จะเริ่มมีผลบางส่วนตั้งแต่ปีนี้ เพราะคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยขยายตัวเหลือ 1.2%

ส่วนเศรษฐกิจโลกปี 2566 มีแนวโน้มชะลอลงมากจากปี 2565 แต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยปรับลดลง สาเหตุจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.เครื่องชี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ได้ชะลอตัวแรงนัก สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ในเดือนธันวาคม 2565 ของประเทศเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่ที่เริ่มปรับดีขึ้นจากจุดต่ำสุด รวมถึงผลกระทบจากวิกฤตพลังงานในกลุ่มประเทศยุโรปน้อยกว่าคาด จากราคาพลังงานโลกที่ลดลงเร็วและฤดูหนาวไม่รุนแรงมากนัก 2.จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด ช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2566 หลังผ่านการระบาดโควิดรุนแรงในช่วงไตรมาสแรก และประชากรจีนมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น และ 3.ทิศทางเงินเฟ้อโลกเริ่มชะลอตัวชัดเจนขึ้น ทำให้ความกังวลภาวะการเงินตึงตัวเริ่มปรับลดลง เนื่องจากนโยบายการเงินโลกจะไม่เข้มงวดมากไปกว่าที่ตลาดคาดไว้ ซึ่งแม้ทิศทางเศรษฐกิจโลกจะปรับดีขึ้นบ้าง แต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการระบาดโควิดในจีนที่อาจทำให้จีนกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง

อัตราเงินเฟ้อโลกชะลอตัวชัดเจนขึ้น ผลจากอุปทานคอขวดทยอยคลี่คลาย แรงกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลง และแรงกดดันอุปสงค์ที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี โดยแนวโน้มเงินเฟ้อโลกจะยังสูงกว่าเป้าของธนาคารกลางในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ตามราคาอาหารและพลังงานที่จะยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดโควิด ส่งผลให้นโยบายการเงินจะยังตึงตัวนานต่อเนื่องไปอีกระยะ โดยประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี สู่ระดับ 4.75-5% และคงดอกเบี้ยตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้

Advertisement

⦁มังกรเปิดเมือง‘หุ้นดีดแรง’
ขณะที่ ณัฐพล จันทร์สิวานนท์ กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด ให้มุมมอง แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2566 สดใส โดยคาดการณ์ดัชนีสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 1,874 จุด พี/อี 17 เท่า กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เติบโต 8% อัตราผลตอบแทนคาดหวัง 14.43% โดยการเปิดเมืองที่เร็วกว่าคาดของจีน ถือเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นจีนในปี 2566 รวมถึงตลาดหุ้นไทยก็จะได้อานิสงส์เชิงบวกด้วย โดยประเมินกรณีดีที่สุด จากปัจจัยบวกในประเทศ เศรษฐกิจไทยขยายตัวและเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว Bloomberg Consensus คาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้ จะโตขึ้นที่ 3.8% จากปี 2565 อยู่ที่ 3.2% ถือว่าโดดเด่นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่ไหลเข้าหุ้นไทยปี 2565 สูงสุดรอบ 22 ปี และการกลับมาแข็งค่าของค่าเงินบาทหลังสหรัฐอ่อนค่าลง อาจส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย อาจเซอร์ไพรส์ตลาดหาก ธปท.ขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด มองดอกเบี้ยปี 2566 อยู่ที่ 1.75-2% จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นและตราสารหนี้คาดว่าเงินลงทุนต่างชาติยังไหลเข้าลงทุนต่อเนื่องและจากสถิติที่ผ่านมาในช่วงที่เงินต่างชาติเข้าจะไหลเข้าต่อเนื่องหลายปีติดต่อกัน ประเมินการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น อาทิ ตราสารหนี้ในช่วงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ระดับ Investment Grade เนื่องจาก Credit Spread ไม่ได้กว้างขึ้นมาก

ด้าน ธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เสริมว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2566 จะชะลอตัวลง คาดการณ์เติบโตเหลือ 2.1% จากปี 2565 โต 3.3% โดยตลาดหุ้นระยะสั้น แม้ทิศทางดูดี หรือมีโอกาสที่ดัชนีปรับขึ้นหรือรีบาวด์ต่อได้ แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ดัชนีมีการปรับขึ้นมาค่อนข้างมาก ทำให้ดัชนีแม้มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อได้ แต่น่าจะทำให้ภาพตลาดไตรมาส 1/2566 มีลักษณะย่อตัวเพื่อสร้างฐาน ก่อนไปที่ระดับ 1,750 จุด แต่ไม่ควรหลุด 1,650 จุด ประเมินระยะกลาง ดัชนีอยู่ในทิศทางขาลง จนกว่าจะยืนเหนือ 1,750 จุด ทำให้การปรับขึ้นใดๆ ในปัจจุบัน ถือเป็นการรีบาวด์ของโครงสร้างใหญ่เท่านั้น ส่วนทองคำปี 2566 มีโอกาสเป็นปีของทองคำ ขณะที่เงินบาทแข็งค่ามาถึงแนวรับ 32.00-32.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

⦁‘สินทรัพย์เสี่ยง’รอจังหวะ
โดยที่ กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) กล่าวว่า ปี 2564-2565 ถือเป็นปีที่มีนักลงทุนไทย ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล (คริปโทเคอร์เรนซี) สูงมาก สะท้อนจากมีการเปิดบัญชีซื้อขายกว่า 1 ล้านบัญชี และการพัฒนาแอพพลิเคชั่นทั่วโลก เปิดให้คนไทยเข้าไปซื้อคริปโทฯและลงทุนในประเทศต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น แม้ปี 2565 จะมีสถานการณ์ที่ทดลองแล้ว ทำให้นักลงทุนบางส่วนยอมถอดใจ เพราะได้รับความเสียหาย แต่ทุกสินทรัพย์ต้องเกิดการทดลองลักษณะนี้ เพื่อให้รู้ว่าตัวจริงเป็นอย่างไร มั่นใจไม่นานคริปโทฯจะกลับมาอีกครั้ง

จากข้างต้น สะท้อนภาพการลงทุนก้าวแรก 2566 บนความหวัง “ดีมากกว่าร้าย”

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image