อวสานลดค่าไฟ!! รัฐดอดขึ้นกลุ่มเปราะบาง 151-500 หน่วย จ่ายสูงสุด 4.72 บ. มีผล ม.ค.-เม.ย.นี้

อวสานลดค่าไฟ!! กกพ.เสนอขึ้นกลุ่มเปราะบาง 151-500 หน่วย อ้างกฎหมาย งบช่วยไม่พอ กดดัน กบง.เคาะตาม จ่ายสูงสุด 4.72 บ. มีผล ม.ค.-เม.ย.นี้

เมื่อวันที่ 23 มกราคม รายงานข่าวจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เปิดเผยถึงมติ กบง. เมื่อวันที่ 18 มกราคม ที่เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลดค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคม-เมษายน 2566 สำหรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ซึ่งเรียกเก็บที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยกลุ่มเปราะบาง ที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ประมาณ 19.66 ล้านราย ประกอบด้วย จำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ตั้งแต่ 1-150 หน่วย ส่วนลดค่าไฟฟ้า 92.04 สตางค์ต่อหน่วย และจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ตั้งแต่ 151-300 หน่วย ส่วนลดค่าไฟฟ้า 67.04 สตางค์ต่อหน่วย วงเงินช่วยเหลือประมาณ 7,500 ล้านบาท ว่า

มาตรการช่วยเหลือดังกล่าวหากดูในรายละเอียดจะพบว่า มีการขึ้นค่าไฟในส่วนของกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟตั้งแต่ 151-300 หน่วยต่อเดือน อีก 25 สตางค์ต่อหน่วย เท่ากับว่ากลุ่มนี้จะต้องจ่ายค่าไฟประมาณ 4 บาทต่อหน่วย ไม่ได้จ่ายราคาเดิม คือประมาณ 3.70 บาทต่อหน่วย เช่นเดียวกับกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟระหว่าง 1-150 หน่วยต่อเดือน ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อเสนอของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่เสนอต่อ กบง.

ขณะเดียวกัน ยังยกเลิกส่วนลดค่าไฟ 15-75% เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้ไฟตั้งแต่ 301-500 หน่วยด้วย เท่ากับว่ามาตรการช่วยเหลือค่าไฟของรัฐบาลครั้งนี้มีการปรับรูปแบบ กลุ่มผู้ใช้ไฟตั้งแต่ 151-500 หน่วยต่อเดือน จะต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มแน่นอนในงวดเดือน มกราคม-เมษายน 2566 แม้จะใช้ไฟเท่าเดิม

“มาตรการช่วยค่าไฟเดิมของงวดเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 ได้ตรึงค่าไฟ 3.70 บาทต่อหน่วยต่อเดือน สำหรับผู้ใช้ไฟกลุ่มเปราะบาง 1-300 หน่วย รวม 19.6 ล้านครัวเรือน ขณะที่กลุ่มใช้ไฟตั้งแต่ 301-500 หน่วย มีจำนวน 2.1 ล้านครัวเรือน แต่มติ กบง.ล่าสุดนี้ตรึงค่าไฟให้กลุ่มเปราะบาง 0-150 หน่วยต่อเดือน เพียง 14.7 ล้านครัวเรือน ขณะที่กลุ่มใช้ตั้งแต่ 151-300 หน่วยต่อเดือน จำนวน 4.9 ล้านครัวเรือน ค่าไฟจะแพงขึ้นเพราะต้องจ่าย 4 บาทต่อหน่วย ขณะที่กลุ่มที่ใช้ตั้งแต่ 301-500 หน่วย จำนวน 2.1 ล้านครัวเรือน จะต้องจ่ายค่าไฟในอัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย ตามราคาปัจจุบัน” แหล่งข่าวกล่าว

Advertisement

รายงานข่าวระบุว่า แนวทางการช่วยค่าไฟที่ กบง.เคาะครั้งนี้คือแนวทางที่ 3 จาก 4 แนวทางที่ กกพ.เสนอ ประกอบด้วย 1.ลดค่าไฟเช่นเดียวกับงวดตุลาคม-ธันวาคม 2566 ใช้วงเงิน 9,700 ล้านบาท 2.ช่วยกลุ่ม 150 หน่วยแรกเท่าเดิม และปรับปรุงกลุ่ม 151-500 หน่วย วงเงิน 8,000 ล้านบาท 3.ช่วยเฉพาะ 300 หน่วยแรก วงเงิน 7,500 ล้านบาท และ 4.ช่วยครึ่งหนึ่งของกรณีศึกษา 1 วงเงิน 4,800 ล้านบาท

 

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง

รายงานข่าวระบุว่า สาเหตุของมติ กบง.ที่ลดการช่วยเหลือค่าไฟให้กลุ่มเปราะบาง และเลิกช่วยประชาชนที่ใช้ไฟไม่ถึง 500 หน่วยต่อเดือน ทั้งที่เป็นมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 นั้นสาเหตุมาจาก กกพ.มีความเห็นว่า แนวทางการช่วยเหลือค่าไฟกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟต่ำกว่า 500 หน่วยต่อเดือน ตามข้อเสนอของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่เสนอให้เพิ่มการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยโดยไม่ผ่านกระบวนการแยกก๊าซของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ (bypass gas) แทนการจัดสรรรายได้จากการดำเนินธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติ

โดย กกพ.เห็นว่า ตามกฎหมายไม่น่าจะสอดคล้องกับมติ กพช. เพราะเป็นการลดต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติไปยังผู้ใช้ก๊าซทุกราย ไม่ได้เจาะจงกลุ่มเปราะบางโดยตรง แต่หาก กบง.จะดำเนินการช่วยรูปแบบเดิมจะต้องเสนอ กพช.ให้มีมติสั่งการ กกพ.อีกครั้ง สรุปคือ กกพ.ไม่คัดค้าน แต่ก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งเรื่องนี้ กบง.ในส่วนของกระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พยายามคัดค้านแล้ว แต่ กกพ.ยังยืนยันว่าตามกฎหมายทำไม่ได้

รายงานข่าวระบุว่า นอกจากความเห็นประเด็น bypass gas ของ กกพ. ยังพบข้อจำกัดเรื่องงบประมาณเร่งด่วน เพราะเดิม กพช.ได้กำหนดให้ ปตท.สนับสนุนเงิน 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โรงแยกก๊าซธรรมชาติ 4,000 ล้านบาท และ bypass gas 2,000 ล้านบาท ขณะที่อีก 1,500 ล้านบาท กระทรวงพลังงานเสนอขอใช้จากงบกลาง 2566 แต่จากความเห็น กกพ.ที่ไม่สามารถได้เงินจาก bypass gas 2,000 ล้านบาทได้ ทำให้กระทรวงพลังงานต้องเพิ่มวงเงินของบกลางเป็น 3,500 ล้านบาท ขณะที่งบกลางมีจำกัด ทำให้กระทรวงพลังงานค่อนข้างกังวลกับเรื่องนี้

“มติของ กกพ.เกิดขึ้นวันที่ 18 มกราคมช่วงเช้า จากนั้นนำเข้า กบง.ช่วงเย็นวันที่ 18 มกราคม หาก กบง.ไม่เห็นชอบตามมติ กกพ. และเลือกเสนอ กพช. จะทำให้กระบวนการช่วยค่าไฟกลับไปเริ่มใหม่ และหากไม่เลือกตามแนวทางที่ กกพ.เสนอ งบประมาณจะยิ่งเกิดปัญหา โดยกระทรวงพลังงานต้องการช่วยตามกรณีศึกษา 1 คือช่วยเหมือนเดิม 1-500 หน่วย วงเงิน 9,700 ล้านบาท แต่งบกลางไม่พอเพราะต้องใช้สูงถึง 5,700 ล้านบาท ขณะที่ ปตท.ไม่สามารถนำเงินมาช่วยได้แล้วเนื่องจากติดข้อกฎหมายตามที่ กกพ.ตั้งข้อสังเกต” รายงานข่าวระบุ

 

 

อ่านข่าวน่าสนใจ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image