“พรีบิลท์” เพิ่มพอร์ตอสังหาฯ 3 ปีสัดส่วนกำไรเท่าก่อสร้าง เล็งพัฒนาบ้านหรูราคาหลัก100ล.กลางเมือง

“พรีบิลท์” ส่งบริษัทลูกลุยอสังหาฯ ลุยทุกเซกเมนต์ ตั้งเป้า 3ปี สัดส่วนกำไรครึ่งๆกับก่อสร้าง ปีนี้ลุยเจาะแนวราบ เล็งพัฒนาบ้านหรูกลางเมือง 100 ล้านต่อหลัง

นายวิโรจน์ เจริญตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จํากัด (มหาชน) (PREB) เปิดเผยถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ว่า มีแนวโน้มฟื้นตัวในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น เนื่องจากที่อยู่อาศัย ถือเป็นปัจจัยสี่และผู้บริโภคมีความต้องการในที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเห็นดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่มีความต้องการสูงมาก ในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวได้เร็วเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จากผู้ประกอบการมีการลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น

“โครงการบ้านแนวราบ ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค แต่การก่อสร้างของผู้ประกอบการยังไม่ทันต่อความต้องการของผู้บริโภค มีการเร่งซื้อ เนื่องจากลูกค้าเชื่อมั่นว่ามีศักยภาพในการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้ ถึงแม้ว่าอัตราการปฏิเสธสินเชื่อมีบ้างแต่อาจไม่มาก เพราะมีการตรวจสอบลูกค้าตลอด ประกอบกับที่เรามีบริษัทรับเหมาก่อสร้าง สามารถทำให้ลดต้นทุนก่อสร้างได้ถึง 10% ซึ่งบริษัทจะนำส่วนต่างตรงนี้มาสร้างมูลค่าให้กับสินค้าให้ดียิ่งขึ้น”นายวิโรจน์ กล่าว

อย่างไรก็ตามในช่วง 5 ปีหลังจากนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีการพัฒนาโครงการให้ครบทุกเซกเม้นต์ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยว ยังมาแนวโน้มเติบโตได้ดี เนื่องความต้เองการของผู้บริโภคยังม่ต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทได้มีการพัฒนาโครงการแนวราบ และมีแผนจะพัฒนาต่อเนื่อง โดยได้ทำอยู่ 2 กลุ่มระดับราคา ได้แก่ 5-10 ล้านบาท และ กลุ่มระดับราคา 15-20 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ไม่เกิน 3 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีโครงการบ้านหรู 6 โครงการ ซึ่ง 3 โครงการอยู่ระหว่างการขาย มูลค่ารอการขาย 2,000 และโครงการที่อยู่เตรียมที่จะเปิดโครงการ 2 โครงการ 1,500

และในอนาคตจะทำบ้านหรู 100 ล้านบาทต่อหลัง ทำเลในเมือง สุขุมวิท ไม่เกิน ทองหล่อ ระดับราคาที่ดิน หลักแสนไม่เกิน ล้านต่อตารางวา ขนาดที่ดินประมาณ 3 ไร่ขึ้นไป ประมาณ 10 ยูนิต ยูนิตละประมาณ 70 ตร.วา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดหาที่ดินคาดว่าภายในปีนี้หรือต้นปีหน้าน่าจะเปิดได้

Advertisement

“การทำบ้านหรูระดับราคา 100 ล้าน เป็นการทำออกมาเพื่อแข่งกับคอนโดลักชัวรี่  เนื่องจากหลังโควิด มองว่าคนอยากได้พื้นที่ส่วนตัว และมีสีเขียวมากขึ้น และยังอยู่กลางเมืองได้เหมือนเดิม โดยขณะนี้มีอยู่ 2-3 แปลง และเจราอยู่ 1 แปลง”

นายวิโรจน์กล่าวว่า ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างกว่า 3,000 ล้านบาท และธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 1,100 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นจากปีก่อนราว 20% จากปีก่อนที่คาดว่ามีรายได้อยู่ที่ 3,500 ล้านบาท โดยธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ เข้ามากว่า 3,000 ล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่กว่า 6,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องไปอีกในปีต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่งานที่บริษัทรับเข้ามาจะใช้ระยะเวลาในการรับรู้รายได้ราว 2 ปี ขณะเดียวกันบริษัทยังมองว่าในปีนี้ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ทำให้เชื่อมั่นของผู้ประกอบการต่างๆกลับมาดีขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนให้งานโครงการลงทุนต่างๆออกมามากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทได้มีการติดตามงานที่จะเข้าประมูลกว่า 10,000 ล้านบาท และคาดหวังได้รับงานเข้ามาราว 30% ซึ่งล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างรอการประกาศผลงานในช่วงต้นปีจำนวน 4 งาน มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท และคาดหวังจะได้รับงานเข้ามาเติม Backlog ไม่ต่ำกว่า 30% ซึ่งในแต่ละปีบริษัทจะต้องรักษาระดับ Backlog เพื่อรองรับรายได้ในอนาคตที่ 6,000-8,000 ล้านบาท/ปี

นายวิโรจน์กล่าวว่า อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยที่มองว่าเป็นความเสี่ยงต่อต้นทุนการก่อสร้างในเรื่องค่าวัสดุก่อสร้างที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งได้ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วราว 10% โดยปัจจุบันต้นทุนก่อสร้างหลัก เช่น เหล็ก ราคาเหล็กเริ่มทรงตัวและนิ่งแล้ว แต่ยังมีราคาคอนกรีตที่ยังคงปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวัสดุก่อสร้างหลักเช่นเดียวกัน ทำให้อาจจะมีแรงกดดันมาร์จิ้นบางส่วนบ้าง ขณะที่เรื่องแรงงานขาดแคลนของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว

Advertisement

อีกทั้งมีความกังวลเรื่องของการปรับขึ้นค่าแรง ที่อาจจะมีผลกระทบต่อต้นทุนก่อสร้าง แม้ว่าปัจจุบันจะได้มีการปรับขึ้นมาแล้วราว 10% ก็ตาม แต่ยังมีความกังวลหลังการเลือกตั้งว่าจะมีการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงอีกหรือใหม่ หากมีการปรับขึ้นมองว่ารัฐบาลชุดใหม่ควรแจ้งให้กับผู้ประกอบการได้รับทราบล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อม เพราะค่าแรงถือเป็นหนึ่งในต้นทุนที่สำคัญของธุรกิจรับเหมา ทำให้เมื่อมีการปรับขึ้นค่าแรงจะกระทบต่อต้นทุนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะงานที่เซ็นสัญญาไปแล้ว

นายวิโรจน์กล่าวว่า ด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในปี 2566 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,300 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,100 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ที่ 800 ล้านบาท โดยมี Backlog ที่รอรับรู้อีก 300 ล้านบาท ซึ่งจะเข้ามาในปีนี้ทั้งหมด พร้อมวางแผนเปิดโครงการใหม่ในนี้ 2 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท ด้านงบซื้อที่ดินวางไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อที่ดินในการพัฒนาโครงการในปีต่อๆไป ซึ่งยังเน้นที่การพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก ส่วนคอนโดมิเนียมมองว่าตลาดยังไม่กลับมาอย่างชัดเจน แต่บริษัทก็ยังเปิดโอกาสในการพัฒนาคอนโดมิเนียมได้

อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า สัดส่วนกำไรของบริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จะเพิ่มขึ้นมาในระดับที่ใกล้เคียงกับกับกำไรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ 50:50 จากปัจจุบันที่สัดส่วนกำไรยังมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นธุรกิจที่มีงานรับรู้เข้ามามาก และมีสัดส่วนรายได้ที่ 80% ขณะที่บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มีสัดส่วนรายได้ที่ 20% ทำให้เมื่อมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆเพิ่มมากขึ้นในอนาคต จะทำให้บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามมา และเป็นธุรกิจที่ให้มาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจรับเหมาะก่อสร้าง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image