บี.กริม เพาเวอร์ ลุยเพิ่มสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพันธมิตร ปี’65 กำไรร่วง 84%
ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า รายได้รวมปี 2565 เพิ่มขึ้น 33.8% เป็น 62,395 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปริมาณไฟฟ้าที่ขายอยู่ที่ 13,958 กิกะวัตต์-ชั่วโมง สาเหตุมาจาก จาก 1) ราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วยให้แก่ กฟผ. เพิ่มขึ้นจากกลไกการส่งผ่านค่าเชื้อเพลิงตามราคาก๊าซธรรมชาติ ค่า Ft และราคาขายไอน้ำต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 2) การฟื้นตัวของปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้า IU ในประเทศเวียดนาม จากการล็อคดาวน์ประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 3) การเติบโตจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว และ 4) การเริ่มดำเนินการของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิต 16 เมกะวัตต์ ในประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2564
ด้านกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ สำหรับปี 2565 อยู่ที่ 375 ล้านบาท ลดลง 84.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 อยู่ที่ 169 ล้านบาท ลดลง 20.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งส่งผลมากกว่าการปรับขึ้นของค่า Ft (ผลการดำเนินงานของลูกค้า IU ในประเทศคิดเป็น 20.7% ของรายได้รวม) หากรวมผลขาดทุนจากรายการที่ไม่ใช่เงินสดและรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ทั้งการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และขาดทุนจากการด้อยค่าของโรงไฟฟ้าและอุปกรณ์สำหรับโรงไฟฟ้าที่มีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทดแทนซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว จะส่งผลให้ บี.กริม เพาเวอร์ รายงานผลขาดทุนสุทธิ-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่เท่ากับ 1,244 ล้านบาท สำหรับปี 2565 และ 545 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2565
ส่วนปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าของ บี.กริม เพาเวอร์ คือ การเพิ่มขึ้นของค่า Ft จาก 0.9343 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 1.5492 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในเดือนมกราคม – เมษายน 2566 สาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มของราคาพลังงานโลก และคาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติต่อหน่วย สำหรับ SPP จะอยู่ที่ 400-450 บาทต่อล้าน BTU พร้อมกันนี้ ตั้งเป้าดำเนินการตามแผนควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในปีนี้อย่างน้อย 50-70 ล้านบาท
“ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างโอบอ้อมอารี และการปรับตัวให้ทันสมัยอยู่เสมอ บี.กริม สามารถก้าวผ่านมาได้ทุกวิกฤตตลอด 145 ปี แม้ในปี 2565 บี.กริม เพาเวอร์ จะมีผลการดำเนินงาน ชะลอตัวด้วยผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสด บี.กริม เพาเวอร์ เชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานขององค์กรจะสามารถฟื้นตัวอย่างมั่นคงในปี 2566 และอนาคตต่อจากนี้ไป ด้วยยุทธศาสตร์ GreenLeap Global and Green มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการด้านพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ขยายการลงทุนในพลังงานทดแทน มุ่งสู่ 4,700 เมกะวัตต์ในปี 2567 และ 10,000 เมกะวัตต์ในปี 2573” ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว
สำหรับแผนงานในปี 2566 บริษัทเดินหน้าขยายการลงทุน และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศต่อเนื่อง โดยในเดือนกุมภาพันธ์ บี.กริม เพาเวอร์ และ อมตะ คอร์ปอเรชัน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการ “อมตะ ยูโรเปี้ยน สมาร์ท ซิตี้” (AMATA European Smart City) รองรับการลงทุนด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (s-curve industries) ที่มีแนวโน้มจะขยายฐานการผลิตมายังทวีปเอเชีย และล่าสุดยังได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับ TNB Power Generation บริษัทย่อยของการไฟฟ้าแห่งชาติมาเลเซีย (Tenaga Nasional Berhad: TNB) เพื่อนำเข้าพลังงานหมุนเวียน (พลังงานน้ำ ลม และแสงอาทิตย์) จากโรงไฟฟ้ารวมขนาด 200 เมกะวัตต์ ผ่านกลไกของโครงการเชื่อมโยงระบบพลังงาน ลาว-ไทย-มาเลเซีย รวมถึงร่วมกันพัฒนาโครงการพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
อ่านข่าวน่าสนใจอื่น: