งัดเอไออัพเกรด E-Tax ส่องรีดภาษีค้าออนไลน์

งัดเอไออัพเกรด E-Tax ส่องรีดภาษีค้าออนไลน์

ปี 2566 ยังคงเป็นอีกปีที่ท้าทาย แม้วิกฤตโควิดจะผ่อนคลายแล้ว แต่วิกฤตเศรษฐกิจยังมีอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน สภาพเศรษฐกิจผันผวนแบบนี้ ทุกฝ่ายจึงต้องปรับตัว ทั้งประชาชน ผู้ประกอบการ นักธุรกิจน้อยใหญ่ รวมถึงหน่วยงานของภาครัฐเองก็เช่นกัน

ตัวเลือกหนึ่งที่เป็นตัวช่วยสำคัญให้ยุคปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีดิจิทัล ที่ทุกฝ่ายต่างต้องรู้ให้เท่าทันการพัฒนาที่เปลี่ยนแปลงไป และนำความรู้ใหม่เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับการทำงาน กรมสรรพากรเป็นหนึ่งในหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่สำคัญในเรื่องการจัดเก็บรายได้ ข้อมูลภาษีมากมายต่างไหลมาสู่กรมสรรพากร ดังนั้น กรมสรรพากรจึงเห็นความสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในองค์กร

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้นำระบบภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax) มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียภาษี ไม่ว่าจะเป็นการยื่นแบบเสียภาษีทุกประเภทผ่าน e-filing การตรวจสอบข้อมูลภาษีของตนเองผ่าน My Tax Account การหักภาษี ณ ที่จ่ายผ่าน e-withholding tax และการส่งมอบและเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบ e-Tax Invoice และ e-Receipt เป็นต้น

จากนี้กรมสรรพากรจะพัฒนาระบบ E-Tax ไปอีกขั้น โดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เพื่อดึงคนเข้าระบบให้มากขึ้น โดยเฉพาะ
ผู้ประกอบการรายเล็กและรายกลาง ที่จำนวนมากอยากเข้าสู่ระบบภาษีที่ถูกต้อง แต่มีปัญหาความยุ่งยากในการทำระบบบัญชีและภาษี

ADVERTISMENT

โดยกรมเห็นว่าในหลายประเทศได้นำเอไอมาใช้ในการตรวจสอบการเสียภาษี สำหรับกรมสรรพากรไทยอยู่ในระหว่างการทดลองใช้ในแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ในปัจจุบันโซเชียลมีเดียมีบทบาทในการสื่อสารระหว่างบุคคล รวมถึงการค้าขาย ซึ่งระบบเอไอสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าผู้เสียภาษีรายนั้นๆ มีการโพสต์ข้อความหรือรูปภาพว่าค้าขายอะไรบ้าง

ปัจจุบันกรมสรรพากรทำการสุ่มตรวจตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ อยู่แล้ว อาทิ เฟซบุ๊ก ที่มีการโพสต์โชว์เงินโอนเข้า หรือการไลฟ์สดขายของ เพื่อตรวจสอบว่ารายได้ของบุคคลเหล่านั้นเสียภาษีถูกต้องแล้วหรือไม่ นอกจากนี้สรรพากรยังใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Web Scraping คือเทคนิคดึงข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ตามรูปแบบที่กำหนด เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์ตามจุดประสงค์ต่างๆ เช่น ดึงข้อมูลราคาและประเภทสินค้าที่ค้าขายผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

ควบคู่ไปกับการที่กรมสรรพากรมีกองสำรวจธุรกิจนอกระบบ เพื่อทำหน้าที่ดึงคนเข้าระบบภาษี โดยปี 2565 กรมสรรพากรสามารถดึงคนเข้าระบบมากถึง 2 แสนราย เช่น พ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายบนออนไลน์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ต่างๆ

นอกจากนี้กรมสรรพากรยังสามารถรู้รายได้ของผู้เสียภาษี จากข้อมูลที่สถาบันการเงินต้องนำส่งให้กรมสรรพากรตามกฎหมาย ซึ่งกำหนดว่าให้สถาบันการเงินส่งข้อมูลบัญชีเงินฝากที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีตั้งแต่ 3 พันครั้งต่อปี ให้กับกรมสรรพากร และกรณีที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไปต่อปี แต่มีเงินที่โอนเข้ารวมกันเกินกว่า 2 ล้านบาท ก็จะต้องนำส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากรด้วย โดยข้อมูลที่ส่งให้กับกรมสรรพากรจะทำให้กรมสรรพากรรู้ข้อมูลรายได้ของผู้มีรายได้ แต่ยังไม่สามารถนำมาเก็บภาษีได้ ต้องนำไปประมวลผลร่วมกับข้อมูลอื่นๆ ด้วย ว่าถึงเกณฑ์ที่ต้องยื่นภาษีและเสียภาษีแล้วหรือไม่

ดังนั้น หากผู้ประกอบการมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเมื่อตรวจสอบแล้วไม่ถึงเกณฑ์จริงๆ กรมสรรพากรก็จะไม่มีสิทธิตามกฎหมายในการเรียกเก็บภาษีกับผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ ส่วนการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังนั้น กรมสรรพากรจะมีสิทธิตรวจสอบภาษีย้อนหลังได้ 2 ปี และถ้าพบความผิดปกติ หรือเข้าข่ายว่าจะเลี่ยงภาษีมีสิทธิตรวจสอบย้อนหลังได้ 5 ปี และกรณีที่ผู้เสียภาษีเคยยื่นแบบภาษีจะสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ 10 ปี นอกจากนี้กรมสรรพากรมีสิทธิเรียกดูรายการเดินบัญชี (Statement) ได้

ในส่วนภาษีธุรกิจ สามารถเรียกเก็บย้อนหลังได้มากถึง 10 ปี ตามมาตรา 193/31 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียกแต่อย่างใด ซึ่งอายุความเรียกเอาหนี้ภาษีอากรคืน จะนับตั้งแต่วันที่สิ้นสุดการยื่นแบบภาษี

อย่างไรก็ดี เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นภาษีได้ถูกต้อง ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความผิดพลาดและถูกเก็บภาษีย้อนหลัง กรมสรรพากรจะอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการรายเล็กและรายกลาง ให้ใช้บริการกับ Service Provider ที่มีโปรแกรมด้านภาษีที่ได้รับอนุญาตจากกรมให้เป็นผู้นำส่งภาษีให้กับกรมได้

ขณะนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตสำหรับผู้ให้บริการนำส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Service Provider ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนรับข้อมูลเอกสารภาษี อาทิ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) จากผู้ประกอบการ แล้วส่งข้อมูลต่อเข้าระบบของกรมสรรพากรโดยตรง โดยกรมสรรพากรจะขยายขอบเขตหน้าที่เพิ่มเติม เพื่อให้บริการครบวงจรตั้งแต่ระบบบัญชี ยื่นแบบภาษีครบวงจร ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม
(เอสเอ็มอี) จากเดิมเป็นเพียงผู้ส่งเอกสารเท่านั้น

ปัจจุบันผู้ให้บริการนำส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Service Provider ที่ได้รับอนุญาตจากกรมสรรพากร มีราว 20 ราย หากขยายขอบเขตหน้าที่ จะทำให้มีผู้มาขออนุญาตเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีผู้ได้รับใบอนุญาตเพิ่ม ก็จะทำให้เอสเอ็มอีมีทางเลือกในการใช้บริการ และราคาที่จะจ้างทำระบบบัญชี การยื่นแบบเสียภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Tax ถูกลงตามไปด้วย จากปัจจุบันการจ้างทำบัญชี จ้างยื่นภาษี มีราคาสูง ซึ่งการยื่นภาษี E-Tax จะได้เงินคืนภายใน 7 วัน จากระบบเดิม จะได้เงินคืน 7 เดือน

อีกทั้งจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบบัญชี หรือสตาร์ตอัพทางด้านบัญชี ซึ่งจะตอบโจทย์ธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการทำระบบบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อการเข้าถึงสินเชื่อ เพื่อนำมาเงินมาเสริมสภาพคล่องและขยายธุรกิจ โดยคาดว่ากรมสรรพากรจะประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่ภายในเดือนมีนาคมนี้ และเชื่อว่าจะทำให้เอสเอ็มอีที่มีปัญหาในการทำระบบบัญชี กังวลการยื่นแบบภาษีไม่ถูกต้อง ได้เข้าสู่ระบบเสียภาษีเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพราะการเสียภาษีไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป

กรมสรรพากรเชื่อว่า Service Provider พร้อมให้บริการทั้งระบบบัญชี ที่ถูกต้องกว่า 20 ราย หากขยายขอบเขตหน้าที่เพิ่มเติมนั้น จะมีผู้ประกอบการเข้ามาเป็น Service Provider อีกมาก เมื่อถึงเวลานั้น ค่าบริการน่าจะถูกลง เพราะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น อาทิ ให้ทดลองใช้ระบบบัญชีและยื่นแบบภาษีให้ฟรี เป็นเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นจึงจะคิดค่าบริการ

รวมถึงผู้ประกอบการ Service Provider ได้จับมือกับธนาคาร เพื่อให้บริการลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ คือ หาแหล่งเงินทุนให้ด้วย ทำบัญชีและยื่นแบบภาษี ลูกค้าทำหน้าที่หารายได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการยื่นภาษี เพราะหากระบบบัญชีถูกต้องตามมาตรฐาน และยื่นภาษีถูกต้อง สถาบันการเงินก็พร้อมปล่อยกู้

การพัฒนาของกรมสรรพากรอย่างครบวงจรในครั้งนี้ เชื่อว่านอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีแล้ว ยังพัฒนาให้การเสียภาษีไม่ใช่เรื่องยาก และไม่น่ากลัวอีกต่อไป