| ผู้เขียน | สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ |
|---|
คิดเห็นแชร์ : ปรากฏการณ์ ‘Bank Run’ ที่สหรัฐ
บทความ “คิด เห็น แชร์” วันนี้ จะกล่าวถึงปรากฏการณ์ “Bank Run” หรือ สถานการณ์ที่ประชาชนแย่งกันถอนเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นในสถาบันการเงินที่ฝากเงินไว้ จนส่งผลให้ธนาคารขาดสภาพคล่อง ซึ่งปรากฏการณ์ “Bank run” ได้เริ่มเกิดขึ้นกับธนาคารที่สหรัฐแล้ว ทำให้นักลงทุนในตลาดการเงินทั่วโลกเกิดความกังวลต่อความเสี่ยงที่สถานการณ์ Bank Run จะลุกลามไปยังสถาบันการเงินอื่นๆ เป็นลูกโซ่หรือไม่
ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคาร 3 แห่งในสหรัฐ ได้ปิดทำการ หรือถูกภาครัฐเข้าควบคุมกิจการ ได้แก่ Silvergate Capital (จากปัญหาความเชื่อมโยงกับตลาดคริปโทฯ และ FTX ที่ปิดตัวไปก่อนหน้านี้), Silicon Valley Bank (จากปัญหานักลงทุน Venture capital และ Start-up ต่างเร่งถอนเงินออกจากธนาคาร ส่งผลให้ธนาคารถูกบีบให้ขายตราสารหนี้ที่ถืออยู่ และบันทึกผลขาดทุนจำนวนมาก) รวมทั้ง Signature Bank ซึ่งเป็นธนาคารที่เน้นให้บริการธุรกิจคริปโทฯเช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ต่างๆ ข้างต้น ส่งผลให้ประชาชนสหรัฐมีความกังวลและเร่งถอนเงินออกจากธนาคารพาณิชย์ อื่นๆ ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อ “Bank run” อย่างไรก็ดีเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางการสหรัฐได้ประกาศคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน ให้กับผู้ฝากเงินกับธนาคาร Silicon Valley Bank และ Signature Bank นอกจากนี้ได้ประกาศมาตรการพิเศษเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารที่มีปัญหา โดยธนาคารสามารถนำตราสารทางการเงินมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้เงินจาก Fed ได้ ในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้ช่วยลดความกังวลของนักลงทุน และส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกรีบาวด์แรงในช่วงกลางสัปดาห์ สถานการณ์ล่าสุดความกังวลต่อสถานการณ์ “Bank Run” ที่สหรัฐเริ่มขยายวงกว้างไปยังธนาคาร First Republic Bank (FRB) อย่างไรก็ดีสถาบันการเงินในสหรัฐรวม 11 ธนาคาร ได้ร่วมมือกันฝากเงินจำนวน 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับธนาคาร FRB และธนาคารใหญ่ 4 แห่งใน Wall Street เตรียมเสริมสภาพคล่องต่างหาก ให้กับ FRB อีก 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลไปค่อนข้างมาก
ฝ่ายวิจัย บล. KGI ประเมินว่าความผันผวนในภาคธนาคารสหรัฐยังคงอยู่ ล่าสุดทาง Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มกลุ่มธนาคารสหรัฐเป็นเชิงลบ และให้แนวโน้มเครดิตเป็นลบกับธนาคารขนาดกลาง 6 แห่ง นอกจากนี้ เริ่มมีสัญญาณของภาคธนาคารในยุโรปอาจมีปัญหาเช่นกัน หลังจากผู้สนับสนับทางการเงินอันดับต้นๆ ของธนาคาร Credit Suisse (CS) แถลงว่าจะไม่เพิ่มทุนให้กับธนาคารอีกต่อไป ข่าวนี้ส่งผลกระทบไปยังหุ้นธนาคารทั่วยุโรปให้ลดลงแรงเช่นกัน และต้องมีการระงับการซื้อขายในช่วงเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ดีล่าสุดธนาคารกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้เข้าให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องกับธนาคาร CS แล้ว
สำหรับความเชื่อมโยงมายังหุ้นธนาคารของไทย นั้น ฝ่ายวิจัยมองว่ามีค่อนข้างน้อย เนื่องจากธนาคารไทยแทบไม่มีธุรกรรมทางตรงกับธนาคารที่มีปัญหาในสหรัฐและยุโรป ขณะที่สัดส่วนการลงทุนในธุรกิจ Venture capital และ Start-up นั้นแม้ว่าจะมีอยู่บ้างแต่น่าจะเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ของธนาคารไทย อย่างไรก็ดี ผมประเมินว่าแม้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับธนาคารในต่างประเทศนั้นจะไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงกับประเทศไทยก็ตาม แต่ผลกระทบทางอ้อมในด้านของโอกาสการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกนั้นยังคงมีอยู่ นอกจากปัญหาเรื่องความเสี่ยงการเกิด Bank Run ในต่างประเทศแล้ว การใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และรวมไปถึงธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ยังเป็นปัจจัยที่อาจนำไปสู่สถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว (Recession) อิงจากโมเดลพยากรณ์ความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว (Recession) ในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดย Fed สาขานิวยอร์ก ล่าสุดสูงถึง 54.49% (ข้อมูล สิ้นเดือน ก.พ.2566) สูงกว่าความน่าจะเป็นที่โมเดลนี้เคยพยากรณ์ไว้ใน วิกฤตปี 1990 / วิกฤตปี 2000 / และวิกฤตปี 2008
โดยสรุป ตลาดหุ้นไทยพักฐานในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. ตามที่ผมเคยคาดการณ์ไว้ โดยได้แรงกระตุ้นจากสถานการณ์ Bank Run ในต่างประเทศ นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอลง (การปรับลดประมาณการ บริษัทจดทะเบียนลง) และอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นที่พักฐานลงมาพอควรแล้ว ขณะที่สถานการณ์ Bank Run ในต่างประเทศได้รับความช่วยเหลือทั้งจากภาครัฐ-เอกชน ผมประเมินว่าเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยซื้อสะสมหุ้นไทย แต่อาจจะต้องระมัดระวังหุ้นที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก (อาทิ หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ หุ้นกลุ่มส่งออก เป็นต้น) เพราะยังมีความเสี่ยงที่จะ Underperform หุ้นที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในประเทศไทยเป็นหลัก (อาทิ หุ้นกลุ่มค้าปลีก หุ้นท่องเที่ยว เป็นต้น)
สุโชติ ถิรวรรณรัตน์
ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์
เคจีไอ (ประเทศไทย)
