เปิดแผนสกัด ‘ทัวร์ศูนย์เหรียญ’ คัมแบ๊ก

สกู๊ปหน้า 1 : เปิดแผนสกัด ‘ทัวร์ศูนย์เหรียญ’ คัมแบ๊ก

ชื่นมื่นกันถ้วนหน้า เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอย่างคึกคัก แต่ก็มาพร้อมกับปัญหาซ้ำซากภาคท่องเที่ยว คือการกลับมาของ ทัวร์ศูนย์เหรียญ หรือ การทำทัวร์ท่องเที่ยวแบบใช้ทรัพยากรท่องเที่ยวของไทย แต่บริษัททำทัวร์เป็นของนักลงทุนของชาวจีน โรงแรมของคนจีน ร้านอาหารเจ้าของโดยคนจีน รวมถึงร้านขายของฝากของที่ระลึกและอื่นๆ ล้วนต้องเข้าร้านคนจีนทั้งสิ้น โดยมักเห็นการเข้าทำธุรกิจท่องเที่ยวแบบเลี่ยงกฎหมายของประเทศไทย หากปล่อยไปเรื่อย “พิษจากทัวร์ศูนย์เหรียญ” ซึ่งเป็นธุรกิจดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย แต่บริหารจัดการโดยต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีน ที่กวาดคนเข้ามาเที่ยวไทยก็จริง แต่ประเทศไม่ได้รับอะไรคืนมาจากการท่องเที่ยวแบบนี้เลย ทั้งรายได้ทางตรงและทางอ้อม

กลุ่มอาชีพมัคคุเทศก์ ประเมินว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญเกิดเงินสะพัดเต็ม 100% แต่ภาษีและรายได้ส่วนใหญ่ไม่อยู่ในประเทศ กลับไปลงกระเป๋านายทุนจีน คิดคร่าวๆ ทุนจีนขนกลับบ้านเขา 70-80% แต่เงินตกในประเทศไทยแค่ 20-30% ประเมินต่อปีเศรษฐกิจไทยสูญเงินกว่าแสนล้านบาท ยังไม่รวมงบประมาณในการลงทุนและซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว!!

สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ธุรกิจทัวร์จีนที่กลับมาทำธุรกิจในไทยแบบทัวร์ศูนย์เหรียญนั้น ตอนนี้ได้พัฒนารูปแบบใหม่ผูกขาดเฉพาะคนจีน โดยร่วมมือกันระหว่างบริษัทขายส่งทัวร์รายใหญ่ในจีนกับกลุ่มจีนเทาที่อยู่ในไทย ซึ่งมีความกังวลว่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคการท่องเที่ยวไทยมากกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญที่เคยต้องปราบปรามกันอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เพราะในช่วงระหว่างการระบาดโควิดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา มีการหยุดการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกัน แต่เห็นชาวจีนเข้ามาอยู่ในประเทศไทยมากขึ้น จึงตามมาด้วยการทำธุรกิจในประเทศด้วย

Advertisement

โดยบางกลุ่มชาวจีนดังกล่าวนี้ พออยู่ไทยมานานก็เรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นไทย วิธีประกอบธุรกิจ รวมถึงทำความรู้จักคนในแวดวงเดียวกัน ทำให้สามารถทำธุรกิจในไทยได้อย่างสะดวกมากขึ้น ซึ่งก็เห็นนักลงทุนจีนเข้าไปทำธุรกิจหลากหลายมากขึ้น อาทิ ร้านอาหาร ร้านนวดสปา บริการรถเช่า โรงแรมที่พัก ที่ต้องถือว่าแทบจะครอบคลุมทุกธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้ว

พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยอมรับว่า มีความกังวลทัวร์ศูนย์จะฟื้นกลับมาทำธุรกิจแบบผิดกฎหมายในประเทศไทยอีกครั้ง ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยนั้น ในขณะนี้ได้มีการร่วมมือกันระหว่างกรมตำรวจท่องเที่ยว กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กระทรวงพาณิชย์ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในการหาทางปราบปรามกลุ่มทัวร์ศูนย์เหรียญที่ลักลอบเข้ามาทำธุรกิจทัวร์นำเที่ยวแบบผิดกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมีการหารือร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยในการหารือร่วมกันก็มีการพูดถึงทั้งการป้องปรามและการปราบปรามใน 2 ขาพร้อมกัน เป็นการหาวิธีการไปเรื่อยๆ เพราะตามธรรมดาแล้ว ผู้ที่จ้องจะกระทำความผิดกับผู้ที่มีหน้าที่ป้องกันนั้น คนคอยทำผิดก็จ้องจะทำผิดหลบหลีกซิกแซ็กไปเรื่อยๆ และคนที่ต้องป้องกันจับกุมคนกระทำผิดนั้น ก็ตามยังไม่ค่อยทันเท่าที่ควร

ดังนั้น เมื่อภาคเอกชนประโคมข่าวร้องทุกข์และจี้ให้หน่วยงานรัฐเร่งเข้ามาดูแล เอกชนมองว่ากันไว้ตั้งแต่ต้นลมที่ต้องตามแก้ปลายเหตุ จะใช้เวลาและงบประมาณมากกว่า ดังนั้น สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นการประชุมหารือของผู้ประกอบการภาครัฐและเอกชน กำชับการทำงานร่วมกัน เจ้ากระทรวงการท่องเที่ยวฯแจงในที่ประชุมว่าได้ออกคำสั่งลงไปยังเจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด ให้ช่วยกันสอดส่องดูแลตามสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมแล้ว เบื้องต้นสิ่งที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯดำเนินการผ่าน 2 มาตรการ คือ 1.การเชิญผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือร่วมกัน เพื่อหาทางรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และ 2.สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สุ่มตรวจสอบในแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัดที่มีแนวโน้มความเสี่ยงเป็นเป้าหมายของกลุ่มทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยยืนยันว่าเป็นการลงพื้นที่ตรวจตราและทำการจับกุมทันที หากพบการกระทำความผิดตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่

Advertisement

รมต.พิพัฒน์ได้ยกตัวอย่างพื้นที่ห้วยขวาง แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน โดยธรรมชาติเมื่อเป็นที่นิยม ก็เป็นแรงดันเกิดร้านอาหาร โรงแรมที่พัก โฮมสเตย์ ที่รองรับชาวจีนโดยตรง เพิ่มขึ้น โดยสิ่งที่ต้องเข้าไปตรวจสอบคือ เป็นผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของธุรกิจโดยให้คนไทยแอบอ้างเป็นเจ้าของหรือจ้างสวมสิทธิ (นอมินี) หรือไม่ หากผลสอบชัดว่าจ้างสวมชื่อเป็นคนไทย แต่บริหารจัดการและมีอำนาจโดยนักลงทุนต่างชาติเกินสัดส่วนกฎหมาย 51% ถือว่าเข้าข่ายนอมินี ก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบว่า เป็นการประกอบธุรกิจแบบใด หากมีพฤติกรรมน่าสงสัยจะเข้าไปตรวจสอบและสั่งปิดได้ ซึ่งถือเป็นมาตรการขั้นรุนแรงในการป้องปรามและปราบปรามกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจแบบผิดกฎหมายในไทย ทั้งทัวร์ศูนย์เหรียญ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ส่วนจะมีพื้นที่ใด หรือหลายพื้นที่ ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่าเอาจริงหรือแค่สร้างภาพ!!

เรื่องนี้ จาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า กรณีเสียงสะท้อนเรื่องไกด์เถื่อน ตามกฎหมายการที่ไกด์ต่างชาติจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยวในไทยไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นอาชีพสงวนเฉพาะคนไทย ที่ผ่านมากรมการท่องเที่ยวร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ตรวจสอบไกด์ต่างชาติที่ลักลอบเข้ามาทำงานในไทยแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถจับกุมได้จำนวนมาก ล่าสุดจับไกด์กัมพูชาที่จังหวัดภูเก็ต

ขณะเดียวกัน กรมการท่องเที่ยว หารือกับอัครราชทูตที่ปรึกษาแผนกกงสุลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เกี่ยวกับแนวทางและมาตรการต่างๆ ในการรองรับนักท่องเที่ยวของทั้ง 2 ประเทศ มีแผนจะดำเนินการทำบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อสร้างความปลอดภัย คุ้มครองสิทธินักท่องเที่ยวจีน

รัฐบาลจีนเผยว่า หากบริษัทจีนทำความเสียหายกับไทย อาทิ ทิ้งทัวร์ ใช้ไกด์นอมินี ใช้ไกด์จีน ให้ส่งผู้กระทำผิดไปยังรัฐบาลจีนด้วย เพื่อรัฐบาลจีนจะใช้กฎหมายในจีนลงโทษเพิ่มอีกทาง ซึ่งส่วนนี้มองว่าจะมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้กลัวกฎหมายไทย แต่กลัวกฎหมายจีน ต่อไปหากไทยจับได้ว่ามากระทำความผิดในไทย จะส่งให้ทางการจีนลงโทษ เพราะกฎหมายในฝั่งจีนมีโทษหนักกว่าบ้านเรา จาตุรนต์กล่าว

การท่องเที่ยวไทยฟื้นไม่นาน ยังเจออุปสรรคมากมาย หากปัญหาอื่น ทั้งเรื่องตั๋วบินแพงและหายาก รวมถึงเที่ยวบินกลับมาเท่าปกติแล้ว ทัวร์เถื่อนอาจเกลื่อนเมืองไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image