กกร.ขยับ!! ส่งหนังสือถึง “บิ๊กตู่” สัปดาห์นี้ รื้อค่าไฟงวด พ.ค.-ส.ค. 66 ถูกกว่า 4.77 บาท

กกร.ขยับ!! เตรียมส่งหนังสือถึง “บิ๊กตู่” สัปดาห์นี้ รื้อค่าไฟงวด พ.ค.-ส.ค. 66 ยันต้นทุนถูกกว่า 4.77 บาท

รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคาร มีมติทำหนังสือจาก กกร. ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อให้ภาครัฐทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(FT) งวด2/66 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2566)

สืบเนื่องจาก ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ครั้งที่ 15/2566 (ครั้งที่ 843) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 มีมติรับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟที (Ft) และได้พิจารณากรณีศึกษาการปรับค่าเอฟทีขายปลีก สำหรับเรียกเก็บในงวดพฤษภาคม – สิงหาคม 2566 โดยมีมติเห็นชอบค่า Ft เป็นอัตราเดียวกันสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เท่ากับ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย

อ่าน กกพ.เคาะค่าไฟอัตราเดียว 4.77 บาทต่อหน่วย มีผล พ.ค.-ส.ค.

Advertisement

กกร. มีความเห็นว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ควรพิจารณาทบทวนค่า Ft งวดที่ 2 เพื่อเป็นการลดภาระของภาคประชาชนในครัวเรือน และภาคธุรกิจ โดยมีเหตุผล ดังนี้

1.จากสถานการณ์ราคาพลังงานทั่วโลก มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเร่งคืนหนี้ค่าไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากเดิมที่มีแผนคืนให้ในระยะเวลา 3 ปี (ตามงวด 1/2566) และเปลี่ยนเป็น 2 ปี (ตามงวด 2/2566) อาจเร็ว เกินไป จนส่งผลกระทบต่อภาระของประชาชน และต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ กกร.จึงเสนอให้คงระยะเวลาการคืนหนี้ให้ กฟผ. เป็นระยะ 3 ปี ตามงวด 1/2566

2.ควรพิจารณาปรับวิธีประมาณการราคาตันทุนเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและราคา LNG ที่ใช้คำนวณต้นทุน ค่าไฟฟ้า โดยใช้ราคาที่สะท้อนแผนการนำเข้า LNG ในช่วง พฤษภาคม- สิงหาคม 2566 แทนการใช้ข้อมูลราคาของเดือน มกราคม 2566 ซึ่งมีราคาที่สูงกว่าเพื่อบรรเทาผลกระทบราคาไฟฟ้าของทุกภาคส่วนลงได้

Advertisement

นอกจากนี้ ขอให้ภาครัฐเร่งจัดตั้ง กรอ.พลังงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมให้ความเห็นในการ กำหนดนโยบายด้านพลังงาน รวมถึงมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานต่างๆ เพื่อให้สามารถ บรรเทาผลกระทบต่อทุก ภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคผู้ประกอบการรายย่อยได้อย่างแท้จริง และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

 

 

อ่านข่าวน่าสนใจ:

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image