ผู้เขียน | เกษมณี นันทรัตนพงศ์ |
---|
‘เคทีซี’พาท่องโลก‘จอร์แดน’
ดินแดนตะวันออกกลางที่ไร้น้ำมัน
แต่มากเรื่องเล่าและอารยธรรมโบราณน่าทึ่ง
ใกล้เทศกาลท่องเที่ยวสำคัญของไทย อย่าง “สงกรานต์” ชวนให้นึกถึงทริปของ “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อปลายปี 2565 พาคณะสื่อมวลชนไปสัมผัสประเทศจอร์แดน หรือราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน หลังว่างเว้นการเดินทางท่องโลกมา 2 ปี จากการระบาดโควิด-19
เช่นเคย หัวหน้าไกด์พาคณะเยือนประเทศตะวันออกกลางที่ไม่มีทรัพยากรน้ำมัน! ในครั้งนี้ คุณระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ เคทีซี มีภารกิจที่นับเป็นไฮไลต์เฉพาะตัว นั่นคือ ทริปทิ้งทวนก่อนอำลาตำแหน่งซีอีโอ กับการประกาศภารกิจสุดท้าย ปรับโครงสร้างบริหารต้อนรับซีอีโอคนใหม่ พร้อมเปิดตัวทีมผู้บริหารรุ่นใหม่แต่หน้าตาคุ้นเคยเพราะอยู่ร่วมงานกับคุณระเฑียรมาเกินปี จะมาสานงานแบบไร้รอยต่อ ให้อาณาจักร เคทีซี ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายการสร้างกำไรนิวไฮ 10,000 ล้านบาท!
ส่วนภารกิจการเดินทางเปิดโลกกว้างครั้งนี้ แน่นอน..มีไฮไลต์เช่นกัน
เริ่มต้นที่ยอดเขา Mount Nebo (เมาท์ เนโบ) ทันทีที่เท้าแตะถึงพื้นดินจอร์แดน มุ่งหน้าสู่เมืองมาดาบาที่ถูกขนานนามว่า “เมืองแห่งโมเสก” เมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องการทำโมเสก (Mosaic) ศิลปะการตกแต่งด้วยชิ้นแก้ว หิน หรือกระเบื้องชิ้นเล็กๆ
ยอดเขา เมาท์ เนโบ ถือเป็นหนึ่งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ โดยเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของจอร์แดน ตามความเชื่อว่าเป็นสถานที่สุดท้ายของศาสดาพยากรณ์ “โมเสส” (Moses) หรือ มูซา ผู้ที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ศาสนายูดา คริสต์ และอิสลาม นำพาชาวยิวที่ตกเป็นทาสของอาณาจักรอียิปต์ไปตั้งรกรากยังดินแดนแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้ามอบให้ชาวยิว ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอลซึ่งมีพรมแดนติดกับจอร์แดน โดยจุดยอดเขาที่ได้เยี่ยมชมสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของประเทศอิสราเอลได้ในวันฟ้าเปิด
ยอดเขาเมาท์ เนโบยังมีโบสถ์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4 แต่ปัจจุบันได้บูรณะใหม่ โดยภายในโบสถ์ได้ปรับเป็นที่จัดแสดง โมเสก ภาพต่างๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวในสมัยโบราณ และอีก 2 จุดไฮไลต์ คือ ต้นมะกอกที่สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ทรงปลูกไว้เมื่อครั้งเสด็จมาเยือนเมื่อปี ค.ศ.2000 และจุดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต้องเก็บภาพเป็นที่ระลึก “Brazen Serpent” ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แห่งโมเสส โดยศิลปินชาวอิตาลีเป็นผู้ออกแบบเพื่ออุทิศเป็นสัญลักษณ์ของโมเสสและพระเยซู
แต่หากใครที่ไม่ใช่สายประวัติศาสตร์ แค่ได้เซลฟี่กับวิวโดยรอบ แบบเบิร์ดอายวิว ก็ฟินแล้ว
จบทริปวันแรก เป้าหมายต่อไปที่ไกด์จัดไว้ให้ คือ “Petra” (เพตรา) นครหินแกะสลักโบราณที่หายสาบสูญจากแผนที่โลกนานนับเกือบพันปี 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลก ปัจจุบันกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีโรงแรมกระจุกตัวอยู่ใกล้ๆ กับเมืองโบราณที่หายสาบสูญแห่งนี้ อย่างที่พักของคณะ “โรงแรมเพตรา มูน ลักชัวรี่” สามารถเดินด้วยเท้าจากที่พัก ระยะทางเพียง 800 เมตรเท่านั้น
ว่าตามข้อมูล นครเพตราถูกซ่อนตัวในหุบเขาวาดี มูซา หรือหุบเขาโมเสส อยู่ระหว่างทะเลเดดซีกับอ่าวอะกาบา แรกเริ่มเป็นที่อาศัยของชาวเอโดไมท์ตั้งแต่สมัย 1,000 ปีก่อนคริสตกาล แต่กลุ่มชนที่สร้างเมืองเพตรากลับเป็นชาวนาบาเธียน (Nabataeans) โดยสกัดหินผาใช้เป็นที่อยู่อาศัย
เมืองแห่งนี้แม้ตั้งอยู่ในหุบเขาแต่ถือเป็นเส้นทางการค้าสำคัญ ทั้งชาวอาหรับ ชาวกรีกใช้เป็นเส้นทางลำเลียงสินค้า เพราะสามารถใช้เป็นเส้นทางเชื่อมคาบสมุทรอาหรับกับอ่าวเปอร์เซีย ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเส้นทางเชื่อมทะเลแดงกับกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย นอกจากนี้ ยังมีแหล่งน้ำจืด กองคาราวานจึงนิยมมาแวะพัก แต่เมื่อเส้นทางการค้าเปลี่ยน มีเส้นทางที่เดินทางสะดวกกว่า อีกทั้งเมืองเพตราเคยเจอแผ่นดินไหว อาคารและระบบชลประทานของเมืองถูกทำลาย โรมันและอาหรับที่เคยแย่งชิงดินแดนแห่งนี้ ต่างพากันละทิ้ง กลายเป็นเมืองร้างและหายสาบสูญในที่สุด กระทั่งนักสำรวจชาวสวิส นาม โยฮันน์ ลุดวิก บวร์กฮาร์ท มาค้นพบเมื่อ ค.ศ.1812 และยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ.1985
ต้องบอกว่า หากใครมีโอกาสสักครั้งควรต้องมาเห็นด้วยตา เพราะสิ่งที่บรรยากาศเทียบไม่ได้กับการได้เห็นและสัมผัสความอลังการและน่าทึ่งของคนโบราณ ทั้งอุตสาหะและมากฝีมือ สามารถสกัดหินทั้งลูกมหึมาให้เป็นมหาวิหารที่สวยงาม โดยจุดแรกที่นักท่องเที่ยวอดใจไม่ไหวต้องแชะรูปแรก คือ The Siq ช่องแคบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติระหว่างผาสองฝั่ง สวยตามธรรมชาติที่ต้องมาเห็นด้วยตา
ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไรยิ่งสวยมากขึ้นเท่านั้น อยากจะแชะทุกมุมทุกจุดที่เดินผ่านกันเลยทีเดียว กระทั่งมาถึงที่ตั้งของมหาวิหารแห่งเพตรา “Al Khazneh” หรือ “The Treasury” ตามความหมายภาษาอังกฤษ ก็ยิ่งว้าว ถือเป็นจุดไฮไลต์ของเพตรา ขนาดความสูงราว 40 เมตร ภายในประกอบด้วย 3 ห้อง มีห้องโถงใหญ่อยู่ตรงกลาง และห้องเล็กอยู่ด้านซ้ายและขวา เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานฝังศพของผู้ครองเมือง โดยรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมของวิหารเชื่อกันว่าประติมากรรมเหล่านี้เป็นของบุคคลในตำนานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตาย อาทิ ด้านบนวิหารเป็นรูปนกอินทรีสี่ตัวที่จะพาวิญญาณออกไป เป็นต้น จากจุดนี้ เดินต่อไปก็ยังชวนให้ตื่นตาตื่นใจกับวิว 360 องศา โดยสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด “อินเดียน่าโจนส์” และอีกหลายเรื่องแนวผจญภัยแฟนตาซีย้อนยุค
ไม่แน่ใจว่าบทภาพยนตร์ถูกเขียนขึ้นมาก่อน หรือเห็นสถานที่แล้วเกิดจินตนาการ แต่อยากจะย้ำอีกครั้งว่า ควรต้องมาสักครั้งในชีวิต…จริงจริง
จบอีกทริป ไปต่อกันเล้ย ตะลุยหุบเขาพระจันทร์ หรือทะเลทรายวาดิรัม ทะเลทรายที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ในเขตเมือง Aqaba (อคาบา) อีกหนึ่งมรดกโลกที่ยูเนสโกยกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ซึ่งเหมาะสมกับมงที่ได้ ด้วยขนาดพื้นที่กว้างขวางถึง 720 ตารางกิโลเมตร มองไปรอบตัวมีแต่ผืนทรายเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา มีโตรกผา ภูเขาหินขนาดมหึมา ล้วนกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นสิ่งมหัศจรรย์สร้างภูมิทัศน์ที่ไม่ชินตา ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดังๆ หลายเรื่อง จนได้อีกฉายาว่า “ดาวอังคาร” เพราะถูกใช้เป็นฉากแนวดาวอังคารหลายเรื่อง เช่น Star Wars, The Martian
แต่หนังที่สร้างชื่อให้ “วาดิรัม” เป็นที่โด่งดังรู้จักไปทั่วโลกครั้งแรก มาจากเรื่อง Lawrence of Arabia เมื่อปี ค.ศ.1962
จัดทริปแนวแอดเวนเจอร์กันมาตลอดการเดินทางที่เห็นแต่ความเวิ้งว้าง ต้นไม้แทบไม่มี ก็มาจบทริปที่การลงไปแช่น้ำในทะเลเดดซี ที่ไม่มีวันจม แล้วขึ้นมาพอกตัวพอกหน้าด้วยโคลนเดดซี ที่ว่า “เด็ด” ช่วยทำให้ผิวพรรณนุ่ม-กระจ่าง
จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ก่อนเดินทางกลับประเทศ คณะแวะช้อปปิ้งที่ City Mall-Carrefour รอเวลาขึ้นเครื่อง โคลนเดดซีบนเชลฟ์โดนคณะไทยกวาดเรียบ ไม่เหลือแม้แต่ถุงเดียว!
หลังจากเฟรชชี่ ได้รีเล็กซ์กันแล้ว ก่อนมุ่งหน้ากลับประเทศไทย ไกด์ไม่ลืมพาไปอีกหนึ่งสถานที่ไฮไลต์ที่กรุงอัมมาน เมืองโบราณเจอราช หรือ เจราช (Jerash) หรือ “เมืองพันเสา” เพราะเมืองแห่งนี้มีแต่เสาแบบยุคโรมัน จนถูกขนานนามอีกชื่อว่า ปอมเปอีแห่งตะวันออก โดยสันนิษฐานว่าเมืองแห่งนี้มีอายุเก่าแก่ก่อนคริสตกาลราว 100-200 ปี เป็นอีกเมืองที่ถูกทิ้งร้าง เพราะเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงจนทำลายเมือง กระทั่งปี ค.ศ.1878 มีการค้นพบและรัฐบาลจอร์แดนได้บูรณะนครโรมันแห่งนี้จนกลายเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ด้วยมนต์เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมโรมันและเคยเป็นเทวสถานโรมันของเทพต่างๆ
และยังมีอีกหลายสถานที่ภายในเมืองเจอราช ที่ไกด์ไม่พลาดพาชม เช่น โอวัลพลาซ่า (Oval Plaza) สถานที่พบปะสังสรรค์ของชาวเมือง เป็นสถาปัตยกรรมที่ล้อมรอบด้วยเสาคอรินเทียม กว่า 160 ต้น โรงละคร จุผู้ชมได้มากถึง 3,000 คน ที่สร้างความอัศจรรย์ให้คนยุคปัจจุบันคือ หากเปล่งเสียงเพียงเบาๆ จะได้ยินเสียงสะท้อนกลับมาให้ได้ยิน สถานที่ที่เคยจัดแข่งขันของนักรบ Gladiator พื้นที่กว้าง 52 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ถึง 15,000 คน เป็นต้น
เป็นอีกทริปที่ประทับใจ แต่ละที่ที่ไป ว้าว ได้ตลอด แต่ส่วนตัวขอยก “เพตรา” เป็นจุดไฮไลต์ที่สุดของทริป เพราะได้แถมประสบการณ์ที่เชื่อว่าน้อยคนจะเจอ นั่นคือการหนีตายจากเหตุน้ำท่วมในหุบเขา หลังฝนตกไม่หยุด หนักสลับเบา จนสุดท้ายมวลน้ำล้นทะลักเข้าท่วม คณะแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง บ้างก็ขึ้นรถโฟร์วีลของเจ้าหน้าที่ บ้างก็หนีขึ้นเขาเพื่ออ้อมไปทางออกอีกด้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่จัดรถมารอรับ
ทุกชีวิตรวมถึงนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ที่ร่วมชะตากรรมปลอดภัยทุกคน เป็นเรื่องระทึกที่น่าจดจำ มีสตอรี่เล่าได้ชั่วลูกชั่วหลาน
เกษมณี นันทรัตนพงศ์