AWC ลุยเจรจา 5 ทุนยักษ์ระดับโลกลงทุน ‘ล้านนา ทีค’ แลนด์มาร์กท่องเที่ยวแห่งใหม่

AWC ลุยปักหมุดเชียงใหม่เปิดแผนพัฒนา 12 โครงการ จับเข่าคุย 5 ทุนยักษ์ระดับโลกลงทุน “ล้านนา ทีค” แลนด์มาร์กท่องเที่ยวแห่งใหม่ เผยปัญหาหมอกควันทำนักท่องเที่ยวเลื่อนเดินทาง พร้อมปรับปรุงห้างพันธุ์ทิพย์ ไลฟ์สไตล์ใหม่เจาะนักท่องเที่ยวไทย-เทศ

เมื่อวันที่ 10 เมษายน นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้จัดทำมาสเตอร์แพลน หรือแผนการพัฒนาที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมีอยู่ประมาณกว่า 100 ไร่ โดยส่วนใหญ่อยู่บนถนนช้างคลาน ไว้หมดแล้วโดยเบื้องต้นจะพัฒนาจำนวน 12 โครงการ แบ่งเป็นโรงแรม 4 แห่งมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีตลาด และไลฟ์สไตล์ และพื้นที่สำหรับค้าปลีก ไนต์บาซาร์ กาแล ซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาไป โดยโครงการที่จะเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวคือ  โครงการล้านนา ทีค ซึ่งจะมีส่วนประกอบที่เกี่ยวเนื่องคล้ายกับโครงการเอเชียทีคในกรุงเทพฯ โดยโครงการนี้ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรระดับโลกประมาณ 5 บริษัท เพื่อเชิญชวนเข้ามาลงทุน ซึ่งรูปแบบการลงทุนจะเปิดกว้าง แล้วแต่ว่าผู้ประกอบการสนใจการลงทุนลักษณะไหน เช่น การร่วมทุน หรือจะเข้ามาลงทุนเอง โดยเช่าที่ของทางบริษัทแล้วพัฒนาโครงการเองก็ได้ โดยโครงการนี้แบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 เฟส โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนาเฟส1

“ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปรูปแบบการลงทุน อยู่ที่พันธมิตรเหล่านั้นว่าสนใจจะร่วมลงทุนรูปแบบไหนอย่างไร เพราะเราต้องการให้โครงการนี้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ”

นางวัลลภากล่าวว่า ในมาสเตอร์แพลนที่วางไว้นั้น จะค่อยๆ พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มีการปรับปรุงโครงการพันธุ์ทิพย์ โดยมีการใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อยกระดับพันธุ์ทิพย์ให้ทันสมัยมากขึ้นภายใต้ชื่อโครงการ เดอะพันธุ์ทิพย์ ไลฟ์สไตล์ ฮับ พื้นที่รวม 13,000 ตารางเมตร ซึ่งจะแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน คือ 1.ATTRATIONS แลนด์มาร์กสำหรับกิจกรรมความสนุกหลากหลายเสมือนห้องนั่งเล่น 2.FOOD LOUNGE แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด 3.LIFESTYLE MARKET แหล่งไลฟ์สไตล์สำหรับทุกคนพร้อมต้อนรับทุกการพบปะสังสรรค์ โดยจะสามารถเปิดเต็มรูปแบบได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้

ADVERTISMENT

“โครงการนี้จะมีการพัฒนาเป็นส่วนๆ โดยปัจจุบันยังมีลูกค้าเดิมที่เช่าพื้นที่อยู่แล้ว ส่วนลูกค้าใหม่ที่กำลังเจรจาอยู่ก็มีหลายราย ซึ่งหลังการปรับแล้วก็จะมีคิดราคาค่าเช่าเป็นปัจจุบันที่ระดับ 600-800 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน”

นางวัลลภากล่าวว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 1และไตรมาส 2 ปี 2566 นี้ว่า สำหรับในส่วนของธุรกิจโรงแรมมองว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ภาพรวมตลาดโรงแรมฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2566 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น และยาวต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ส่งผลให้ยอด Booking โรงแรมในเครือยาวตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นยอดที่สูงกว่าปี 2562 ยกเว้นโรงแรมทางเชียงใหม่ ที่สถานการณ์ฝุ่นควันยังอยู่ในช่วงวิกฤติ ยอด Booking ยังไม่โตก้าวกระโดด แต่ก็อยู่ในภาวะที่ทรงตัว ส่งผลให้ลูกค้าบางส่วน ที่เป็นทั้งคนไทยและต่างชาติ เลื่อนวันเข้าพักออกไปก่อน ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะมีเพียงโรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ ซึ่งเป็น 1 ในเครือโรงแรมทั้ง 4 แห่งของบริษัทในเชียงใหม่ ที่มียอด Booking เต็ม ส่วนธุรกิจรีเทลและอาคารสำนักงาน ทางบริษัทฯกำลังสร้างความมั่นใจให้กับผู้เช่าต่างๆที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ว่าจะเป็นสามารถดำเนินการในรูปแบบโมเดลไหน ที่จะสามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“ต้องยอมรับว่าตลาดโรงแรมในจ.เชียงใหม่ ยังไม่กลับมาแข็งแกร่ง 100% ที่ผ่านมาลูกค้าจะเป็นกลุ่มคนไทยและต่างชาติ ในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 50:50 แต่จะมีเพียงโรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ ที่สามารถดึงลูกค้าชาวยุโรปให้มาเข้าพักได้เต็ม เชื่อว่าหากสถานการณ์ฝุ่นควันคลี่คลาย และนักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาได้เต็มที่ คาดว่าจะเป็นช่วงไตรมาส 3/2566 เป็นต้นไป เพราะเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่มาก ก็จะทำให้ตลาดโรงแรมในเชียงใหม่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน ซึ่งปัญหาฝุ่นควันนั้นมีวิธีแก้ไข ทั้งนี้คงต้องให้หลายๆฝ่ายมาคุยกันก่อน เพราะหากปล่อยไว้จะเป็นผลกระทบในระยะยาว แต่คิดว่าเมื่อถึงหน้าฝน สถานการณ์ในระยะสั้นนี้ก็จะคลี่คลายลงได้” นางวัลลภา กล่าว

นางวัลลภา กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนา “ตะวันนา บางกะปิ”คอมมูนิตี้ มาร์เก็ต โดยร่วมกับเดอะมอลล์ บางกะปิ เพื่อสร้างบางกะปิให้เป็นย่านที่ผู้คนมาใช้ชีวิตและช้อปปิ้ง โดยจะปรับปรุงให้เป็นอาคารสูง 6-8 ชั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ เช็กดีมานด์ในพื้นที่ และขออนุญาตทำแบบก่อสร้าง

ขณะที่โครงการ “เวิ้งนครเขษม” อีกหนึ่งโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ของแอสเสทเวิรด์ฯที่จะดึงเสน่ห์และอนุรักษ์ความเป็นไชน่าทาวน์ ให้เป็นเส้นทางมรดกทางประวัติศาสตร์และถนนแห่งความบันเทิง ดึงคุณค่าจากอดีตไปสู่ไลฟ์สไตล์ในอนาคต สร้างให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว โดยจะให้เป็นBranded Residences สำหรับผู้มาลงทุนให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายการใช้บริการของ AWC ได้ทั้งหมด ขณะนี้อยู่ในระหว่างการขออนุญาตก่อสร้าง