หอค้าคาดสะพัดสงกรานต์ทะลุ 1.2 แสนล. ดันรบ.ใหม่ดึงนักลงทุนนอกชี้เลือกตั้งช่วยฟื้นรายย่อย

หอค้าคาดสะพัดสงกรานต์ทะลุ 1.2 แสนล. ดันรบ.ใหม่ดึงนักลงทุนนอกชี้เลือกตั้งช่วยฟื้นรายย่อย

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 13 เมษายน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดูจากบรรยากาศช่วงก่อนเข้าเทศกาลสงกรานต์จะเห็นหลายหน่วยงานเตรียมความพร้อมการจัดงานเพื่อฉลองเทศกาลสงกรานต์อย่างเต็มรูปแบบ รองรับการหยุดยาวต่อเนื่อง 5 วัน ระหว่างวันที่ 13-17 เมษายน และในวันแรกของสงกรานต์ที่มีคนออกมาเที่ยวในสถานที่ต่างๆ สะท้อนได้ว่าแนวโน้มการท่องเที่ยว ตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะคึกคักมากกว่าปี 2562 ในช่วงสงกรานต์นี้ สอดคล้องกับผลสำรวจพฤติกรรมของประชาชนช่วงสงกรานต์ 2566 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่คาดว่าจะใช้จ่ายมีเงินสะพัด 1.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 17.3% เทียบกับปี 2565 และมีผลต่อจีดีพีทั้งปีนี้ เพิ่มอีก 0.5-0.7% เชื่อว่าได้ว่าสงกรานต์ปีนี้จะกลับมาคึกคักอีกครั้งในรอบ 3 ปีที่เผชิญกับโควิด-19 ระบาด แต่อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มประชาชนจะใช้จ่ายมากขึ้นแต่เพิ่มอย่างระมัดระวังอยู่บ้าง

“เศรษฐกิจโดยรวมทั้งปี 2566 หอการค้าคาดว่าแม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มถดถอยแต่ภาพรวมประเทศไทยจะยังสามารถเติบโตสวนกระแสโลกได้ แม้การส่งออกของไทยไม่โดดเด่น มีแนวโน้มหดตัวต่ออีกระยะ มองทั้งปีส่งออกไม่โตจากปีก่อน หรือมีโอกาสติดลบ 1% ส่วนอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และเริ่มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงระยะกลางนี้ จากราคาพลังงานทยอยคลี่คลายลง ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2566 จะเติบโต 3.0-3.5% ตามกรอบที่เคยประเมินไว้Ž”นายสนั่นกล่าว

นายสนั่นกล่าวว่า ปี 2566 แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจะเป็นเรื่องของการท่องเที่ยวกับการลงทุนจากต่างประเทศ ด้านการท่องเที่ยวที่เติบโตได้เด่นชัด นักท่องเที่ยวต่างชาติช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้เข้ามาถึง 6.5 ล้านคน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีอาจสูงถึง 30 ล้านคน หรือประมาณ 75% ของปี 2562 คาดว่าภาคท่องเที่ยวจะสร้างรายได้ให้กับประเทศในปีนี้กว่า 3 ล้านล้านบาท (เท่ากับปีก่อนโควิด) แต่ต้องเตรียมแผนรองรับ คือแรงงานในภาคท่องเที่ยวและบริการที่อาจยังขาดแคลนอยู่

นายสนั่นกล่าวว่า ด้านกำลังซื้อเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวและกำลังซื้อของประชาชนกลับมาแล้ว โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยจากกิจกรรมทางการเลือกตั้งที่ทำให้เม็ดเงินกระจายลงไปในแต่ละพื้นที่ เราคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้น่าจะมีเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนในระบบ 8-9 หมื่นล้านบาท ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้เกิดบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ส่วนในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางขึ้นไปมีสัญญาณการซื้อสินค้าคงทนถาวรมากขึ้น ในกลุ่มรถยนต์ จักรยานยนต์ เห็นได้ชัดจากยอดจองในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าประชาชนเริ่มมีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจเป็นลำดับ แต่อาจยังไม่เทียบเท่าปี 2562 ก่อนเกิดโควิดเพราะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาสินค้าและดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง

ADVERTISMENT

นายสนั่นกล่าวว่า แน่นอนว่าต้นทุนเพิ่มขึ้นทั้งค่าไฟ ดอกเบี้ย กระทบต่อภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ที่จะมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เรื่องดอกเบี้ยหอการค้ามองว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐเริ่มมีทิศทางลดลง และเชื่อว่าหากสถานการณ์เป็นไปในทิศทางแบบนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะใกล้ยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เป็นผลดีกับทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทย ส่วนเรื่องค่าไฟฟ้าที่อยู่ในระดับสูงนั้นภาคเอกชนเห็นว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ควรพิจารณาทบทวนค่าเอฟทีงวดที่ 2 เพื่อเป็นการลดภาระของภาคประชาชนในครัวเรือนและภาคธุรกิจ จากสถานการณ์ราคาพลังงานทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง