‘สแตนดาร์ด’ หั่นจีดีพีไทยเหลือ 4.3% หลังเศรษฐกิจต่ำกว่าเป้า คาด ‘กนง.’ ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25%

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ปรับคาดการณ์จีดีพีไทยปี’66 เหลือ 4.3% รัฐบาลใหม่-ท่องเที่ยวดันเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง คาด กนง.ขึ้นดอกเบี้ย อีก 0.25% ในการประชุม 31 พ.ค.นี้

เมื่อวันที่ 20 เมษายน นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะเติบโต 4.3% โดยลดลงจากเดิมที่คาดการณ์เมื่อเดือนธันวาคม 2565 ว่าเติบโต 4.5% ซึ่งการปรับลดลงสะท้อนตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต่ำกว่าคาด ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงไม่สดใส และโอกาสที่จะมีความล่าช้าในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากมีการเลือกตั้ง

นายทิมกล่าวว่า โดยในช่วงไตรมาสที่ 2 มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเพิ่มขึ้น ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง แต่เชื่อว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี และรัฐบาลใหม่จะใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดือนในการตั้งรัฐบาลและเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้คาดว่า คณะรัฐบาลน่าจะพร้อมทำงานอย่างเร็วที่สุดในเดือนกรกฎาคมนี้ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดี เนื่องจากรัฐบาลใหม่จะเริ่มทำงานได้อย่างเต็มที่และออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค ประกอบกับการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นของภาคการท่องเที่ยวจากอานิสงค์ของการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน

“คาดว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะเติบโต 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และปรับตัวดีขึ้นกว่าการเติบโตที่ 2.9% ในครึ่งปีแรก และได้ปรับคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2566 ขึ้นเป็น 25 ล้านคน จากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ 15-20 ล้านคน อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวยังต่ำกว่าปี 2562 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนกว่า 40 ล้านคน ทั้งนี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนประมาณ 5 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งยังน้อยกว่า ในปี 2562 ที่ เดินทางมาไทย 11 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่น่าจะหนาแน่นขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป” นายทิมกล่าว

Advertisement

นายทิมกล่าวว่า ทั้งนี้ ธนาคารคงมีมุมมองที่เฝ้าระวังต่อดุลบัญชีการค้า สาเหตุมาจากการส่งออกที่ชะลอตัวลงและการนำเข้าที่ยังคงมีมูลค่าสูง โดยความเคลื่อนไหวเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การค้าโลกในช่วงครึ่งปีหลังและการนำเข้าของไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งขึ้น การส่งออกและนำเข้าที่สอดคล้องกันอาจช่วยลดการขาดดุลการค้า โดยคาดการณ์ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะอยู่ที่ 3.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) (เดิมคาดไว้ที่ 4.0%)

นายทิมกล่าวว่า ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดจะอยู่ที่ 2.1% (เดิมคาดไว้ที่ 2.7%) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดจะอยู่ที่ 1.7% (เดิมคาดไว้ที่ 3.3%) โดยธนาคารยังคงมีมุมมองว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี สอดคล้องกับคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ คืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป เนื่องจากประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว โดยคาดว่าเงินเฟ้อและการบริโภคจะเพิ่มขึ้นจากนโยบายทางเศรษฐกิจและนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายจากรัฐบาลใหม่ ในส่วนของปัจจัยด้านอุปทาน ราคาพลังงานและราคาอาหารที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ซึ่งสนับสนุนมุมมองของเราที่มองว่าเงินเฟ้อจะกลับมาเพิ่มขึ้น

นายทิมกล่าวว่า นอกจากนี้ คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ โดยดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ที่ 2% ในสิ้นปีนี้ แม้ว่ายังมีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก แต่ดัชนีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของไทยประกอบกับมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจเชิงบวกของ ธปท. จึงมองว่า ธปท.น่าจะยังดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกลับสู่ภาวะปกติเพื่อเพิ่มพื้นที่นโยบาย

Advertisement

นายทิมกล่าวว่า ภาพรวมในระยะกลางสำหรับค่าเงินบาทยังคงดี แม้ว่าจะมีความผันผวนในระยะสั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาประกอบกับราคาน้ำมันที่ลดลง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว น่าจะเป็นผลดีต่อบัญชีทุนและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image