‘หยวนต้า’ คาดผลประกอบการบจ.ไทยไตรมาส 1/66 แตะ 2.4 แสนลบ. โตกว่า 49%

‘หยวนต้า’ คาดผลประกอบการบจ.ไทยไตรมาส 1/66 แตะ 2.4 แสนลบ. โตกว่า 49%

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย ในไตรมาส 1/2566 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 2.4 แสนล้านบาท ถือว่าทรงตัวหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 แต่เพิ่มขึ้น 49% หากเทียบกับไตรมาส 4/2565 ที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มหุ้นที่เป็นตัวนำในภาพรวม ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว เครื่องดื่ม โรงไฟฟ้า และธนาคาร (แบงก์) ที่จะเห็นกำไรฟื้นตัวขึ้นมา และอยู่ในโทนที่ค่อนข้างดีด้วย

นายณัฐพล กล่าวว่า สำหรับไตรมาส 2/2566 คาดการณ์ว่าผลประกอบการบจ.จะชะลอตัวลง เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ในช่วงที่มีการยุบสภา บวกกับเห็นแรงซื้อของผู้บริโภคถูกดึงไปในช่วงไตรมาส 1 ที่มีโครงการช้อปดีมีคืนด้วย ทำให้ไตรมาส 2/2566 ผลประกอบการบจ. จะชะลอตัวลงมา 8% เทียบกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าอยู่ประมาณ 2.2 แสนล้านบาท รวมถึงเป็นผลจากวันหยุดของไตรมาส 2 ที่มีเยอะมากกว่าไตรมาส 1 ด้วย โดยกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะไปได้ดี เป็นกลุ่มที่อ้างอิงการเติบโตจากเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก อาทิ กลุ่มค้าปลีก ไฟแนนซ์ อาหารและเครื่องดื่ม ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะชะลอตัวลง เป็นกลุ่มที่อิงการเติบโตจากต่างประเทศเป็นหลัก อาทิ กลุ่มปิโตรเคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพราะมีความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจถดถอยช่วงครึ่งหลังปี 2566 กดดันต่อเนื่อง

นายณัฐพล กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ในช่วงก่อนหน้านี้มีแรงขายกลุ่มแบงก์ออกมา เพราะกังวลหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่ได้มีแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงการเลื่อนการส่งงบการเงินออกไปเป็นครั้งที่ 3 รวมถึงการแจ้งการลาออกของคณะกรรมการบริษัทจำนวน 5 คนกลุ่มสตาร์ก แม้มีความชัดเจนในระดับหนึ่ง และเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นกลับมาบ้างแล้ว แต่ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับลดลงเป็นเหตุจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก รวมถึงเห็นแรงขายหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าออกมาเพิ่มขึ้น หลังจากมีหลายพรรคการเมืองหาเสียงผ่านการใช้นโยบานการปรับลดค่าไฟฟ้าลงด้วย จึงมีแรงขายเป็นกลุ่มๆ ออกมาตามปัจจัยที่เข้ามากระทบ โดยหากประเมินปัจจัยมหภาพคงไม่มีประเด็นอะไรที่กดดันอย่างมีนัยยะสำคัญ

“ในไตรมาส 2/2566 เราประเมินดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบระดับ 1,650-1,680 จุด โดยคาดว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนในเรื่องการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ ส่วนทั้งปี 2566 คาดการณ์ระดับดัชนีสูงสุดอยู่ที่ระดับ 1,720 จุด แต่ขณะนี้อยู่ในช่วงของการปรับประมาณการอีกครั้ง โดยมีแนวโน้มปรับลดลงมา เนื่องจากการบริโภคที่มองว่าจะชะลอตัวจากฐานที่สูงกว่า โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเลือกตั้ง การบริโภคจะหายไปจนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทำให้ตรงนี้มีดาวน์ไซส์ส่วนหนึ่งด้วย และการถดถอยของเศรษฐกิจในต่างประเทศ ที่คาดว่าจะมาในครึ่งหลังของปีนี้ อาจกระทบกับการส่งออกของไทยได้ ซึ่งถือเป็นสองตัวแปลหลักด้วย” นายณัฐพล กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image