“กฟผ.” เผยช่วยค่าไฟได้ 0.07 สตางค์ หวั่นกระทบสภาพคล่อง หลังแบกหนี้ค่า Ft 1.5 แสนล้าน
เมื่อวันที่ 25 เมษายน นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า สภาพคล่องของบริษัทเมื่อต้องแบกค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) รวม 150,000 ล้านบาท สิ่งที่ทำได้คือการเจรจากับคู่สัญญา อย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รวมถึง 2 การไฟฟ้าจัดจำหน่ายที่ กฟผ. ต้องรับเงิน รวมถึงการกู้เงินทั้ง 2 ก้อนรวม 110,000 ล้านบาทของ กฟผ. ถือเป็นการกู้เงินระยะสั้นและเบิกได้ตามวงเงิน เป็นการกู้โดยการใช้งานที่ต้องจ่ายเงินต้นคืนภายในระยะเวลา 2 ปี
ดังนั้น เมื่อถึงเวลากำหนด 2 ปี กฟผ.ต้องจ่ายเงินต้นคืน หาก กฟผ.ไม่ได้เงินเก็บจากค่าไฟฟ้าผันแปรที่ค้างรับจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะไม่มีเงินไปจ่ายคืนให้กับเจ้าหนี้ ไม่สามารถกู้เงินไปลงทุนได้ และเครดิตเรตติ้งจะลดลงจากที่เคยเป็นองค์กรที่มีเรตติ้งดีมาตลอด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งระบบ
นายบุญญนิตย์ กล่าวว่า สำหรับการยืดหนี้ที่กกพ. ต้องคืนให้กับ กฟผ. ซึ่ง กฟผ.ไม่สามารถยืดหนี้ได้ เนื่องจาก 1-2 ที่ผ่านมา ได้มีการเจรจากับกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือเรื่องค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และสอดคล้องการชำระหนี้หนี้ค่าไฟฟ้าผันแปรที่ 150,000 ล้านบาท
ขณะนี้การชำระหนี้ได้เปลี่ยนจากแผนเดิมที่ได้กำหนดไว้ว่า กกพ.ต้องคืนหนี้ให้ กฟผ. โดยได้แบ่งการชำระหนี้จากเดิมทยอยคืนใน 6 งวด งวดละ 4 เดือน ต้องทยอยคืนเงินเฉลี่ย 20,000 ล้านบาท แต่จากการทบทวนโดย กฟผ.พิจารณาแล้วสามารถขยายกรอบการชำระหนี้เป็น 7 งวด
โดยได้ลดค่าไฟฟ้าผันแปรงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม จากเดิมค่าไฟฟ้าผันแปรอยู่ที่ 4.77 สตางค์ต่อหน่วย ลดลงที่ 4.70 บาทต่อหน่วย หรือลดลง 0.07 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งถือเป็นความร่วมมือในหลายภาคส่วน
อย่างไรก็ตาม เท่าที่มีการเจรจาขณะนี้ กฟผ.สามารถแบกหนี้ได้สิ้นสุดตามแผนที่ระบุไว้ว่า กกพ.จะคืนหนี้ได้สิ้นสุดในงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2568 ซึ่งช่วงนั้นรัฐบาลต้องหาเงินมาอุ้มตามกรอบการคืนหนี้ใน 7 งวด เนื่องจาก กฟผ.มีภาระในการคืนเงินกู้ หากองค์กรผิดนัดชำระหนี้และเสียเครดิตจะมีผลต่อการกู้เงินมาลงทุนธุรกิจในอนาคต
“ซึ่งการแบกรับค่าเอฟที ให้ประชาชนตอนนี้ เมื่อถึงจุดที่เหมือนอูฐแบกฟางไม่ไหวและเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ถ้าใส่ฟางมาเพิ่มหลังจะหักแน่ เหมือนกับ กฟผ.ไม่สามารถยืดหนี้ให้มากกว่านี้แล้ว” นายบุญญนิตย์ กล่าว
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรงพลังงาน และประธานกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า สำหรับประเด็นอัตราการสำรองไฟฟ้า (Reserve Margin : RM) ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นอีกสาเหตุทำให้ค่าไฟแพงนั้น ปัจจุบันสำรองไฟฟ้าของไทยอยู่ที่ 36% ไม่ได้สูงถึง 50 – 60% โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นการนำค่ากำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญามาคำนวณ จึงไม่สะท้อนอัตราการสำรองไฟฟ้าแท้จริง
อาทิ ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล กลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากปัจจัยช่วงเวลา ฤดูกาล ถูกคำนวณเป็นสำรองไฟฟ้าแต่ไม่ใช่สำรองไฟฟ้าที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม หากจะให้ค่าไฟฟ้ามีราคาต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วยนั้น หากดูแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี) ก่อนหน้านี้ การนำเข้าก๊าซ LNG ในช่วงนั้นถูกมาก โดยปี 2562-2563 อยู่ที่ระดับ 6-7 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู กระโดดมาที่ 40-50 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู จากปัจจัยเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังโควิดระบาด
รวมถึงสงครามรัสเซียและยูเครน ดังนั้น ต้นทุนฐานไม่ได้มีการกระทบ แต่ค่าไฟฟ้าผันแปรกระทบกับราคาค่าไฟที่แพงขึ้น เพราะมาจากต้นทุนเชื้อเพลิง LNG ในช่วงตอนปลายปี 2565 ที่มีราคาแพงมาก
“ขณะนี้พยายามคำนวณในราคาที่ลดลงมาที่ 19-20 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู และ กกพ.ได้กำชับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดหาให้ได้ในราคา 13-15 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียูในรอบหน้า เพื่อทำให้ราคาลดลง” นายกุลิศ กล่าว